เรามักจะเคยได้ยินว่าตอนหาเงิน “ยากที่สุด ก็คือ ล้านบาทแรก” ถ้าผ่านได้เมื่อไหร่ ล้านที่สอง ล้านที่สามก็จะง่ายขึ้น หลายคนคงมีคำถามตามมาว่า “แล้ว 1 ล้านบาทแรก จะหามาจากไหน” โดยยังไม่ต้องคิดถึงล้านที่สองและที่สาม
หากใครที่ยังไม่มีเงินเก็บแม้แต่บาทเดียว คงคิดในใจว่า “ไม่มีทางเป็นไปได้”
แต่เชื่อหรือไม่ว่า เพียงแค่ลงมือทำและมีวินัย ด้วยการเก็บเงินเดือนละเล็กๆ น้อยๆ ก็จะคว้าล้านบาทแรกมาครองได้ไม่ยาก
เมื่อมีรายได้เข้ากระเป๋า สิ่งที่จะต้องทำเป็นอันดับแรก คือ หักเงินอย่างน้อย 10% ของรายได้เพื่อเก็บออม ที่เหลือค่อยนำไปเป็นค่าใช้จ่าย แต่สิ่งที่มักเกิดขึ้นจริง คือ มีเงินก็นำไปใช้จ่ายก่อน ผลที่ตามมาเงินจะไม่มีเหลือให้เก็บ
ดังนั้นหากต้องการเห็นเงินล้านบาทแรก ควรเริ่มต้นเก็บเงิน แล้วไปหาช่องทางการลงทุน เพื่อให้ได้ผลตอบแทนที่ดี ซึ่งวิธีลงทุนแบบถัวเฉลี่ยต้นทุน (DCA) จะเหมาะสำหรับมือใหม่และถือเป็นการสร้างวินัยการออมที่ดี
หลายคนอาจรู้สึกว่าการหักเงินอย่างน้อย 10% ของรายได้ ถือเป็นเงินก้อนที่ค่อนข้างเยอะ อาจเหลือเงินไม่พอสำหรับใช้จ่าย หากรู้สึกแบบนี้ ทางออก คือ ปรับพฤติกรรมลดการใช้จ่ายบางอย่าง เช่น ซื้อกาแฟและชานมไข่มุก วันละประมาณ 120 บาท หรือ 3,600 บาทต่อเดือน (120 บาท x 30 วัน) แต่ถ้าเปลี่ยนเงินก้อนนี้ไปลงทุน ก็จะให้ผลลัพธ์ที่แตกต่างไปอย่างไม่น่าเชื่อ
หลังจากตัดสินใจเก็บออมแล้ว สิ่งต่อมาที่ต้องคิด คือ จะลงทุนอะไรดี เพราะการลงทุนแต่ละอย่างจะได้รับผลตอบแทนที่แตกต่างกัน และส่งผลต่อการงอกเงยของเงินออม ถือเป็นหัวใจสำคัญที่จะทำให้บรรลุเป้าหมายได้
เช่น ทุกๆ เดือน นำเงิน 3,600 บาท ไปไว้ที่บัญชีออมทรัพย์ กองทุนรวมตราสารหนี้ กองทุนหุ้น ผ่านไป 15 ปี มาดูกันว่าจะได้ผลตอบแทนต่างกันอย่างไร
จากตัวอย่าง พบว่าแค่หยุดซื้อกาแฟและชานมไข่มุก แล้วนำเงิน 3,600 บาท ไปลงทุนก็สามารถคว้าล้านบาทแรกได้อย่างง่ายๆ แต่สิ่งที่สำคัญอีกอย่างอยู่ที่การเลือกสินทรัพย์ลงทุน โดยสินทรัพย์แต่ละประเภทที่ลงทุนจะให้อัตราผลตอบแทนที่แตกต่างกัน และแน่นอนความเสี่ยงก็ต่างกันด้วย
ความเสี่ยง คือ การที่ไม่ได้ผลตอบแทนตามที่คาดหวังไว้ เนื่องจากได้รับผลกระทบจากปัจจัยต่างๆ เช่น สถานการณ์ทางเศรษฐกิจ การเปลี่ยนแปลงของสินทรัพย์ที่ลงทุน รวมถึงความสามารถในการบริหารของผู้จัดการกองทุน เป็นต้น
เช่น ลงทุนในกองทุนหุ้นและคาดหวังผลตอบแทนเฉลี่ย 8% ต่อปี แต่หากในปีนั้นเศรษฐกิจชะลอตัว เกิดสงครามการค้า ผลตอบแทนที่ได้อาจเหลือเพียง 1% หรือขาดทุน ดังนั้น อัตราผลตอบแทนจึงมาพร้อมกับความเสี่ยง อย่างที่มักได้ยินเสมอว่า ยิ่งอัตราผลตอบแทนสูง ความเสี่ยงก็สูงเช่นเดียวกัน (High Risk High Returns)
ดังนั้น ทุกครั้งที่ตัดสินใจลงทุน สิ่งที่ควรรู้ คือ รู้จักตัวเองว่ายอมรับความเสี่ยงได้มากน้อยแค่ไหน รู้จักสินทรัพย์ที่ลงทุน แล้วเลือกปรับวิธีการให้สอดคล้องกับสถานการณ์และตัวเอง
จะเห็นได้ว่าการมีเงินล้านไม่ใช่สิ่งที่เป็นไปไม่ได้ ขึ้นอยู่กับว่าวันนี้ลงมือทำแล้วหรือยัง
หมายเหตุ: บทความนี้เพื่อใช้สำหรับศึกษาเบื้องต้นเท่านั้น มิได้มีเจตนาในการชี้นำการลงทุนแต่อย่างใด ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมก่อนตัดสินใจลงทุน
จารุณี พัชรพิมานสกุล, AFPTTM
บริษัทหลักทรัพย์ ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด
ติดตามบทความอื่นๆ จากตลาดหลักทรัพย์ฯ คลิก >> https://setga.page.link/ds4rghK8pyNH5ZUZ6
jakrawan.s 10 ปี ที่ผ่านมา ศก.ไทยเป็นขาขึ้นเติบโต แต่ต่อไปนี้จะไม่เป็นแบบนั้นแล้วทั้งปัจจัยภายใน ภายนอก ต่อไปไทยจะสังคมสูงอายุการบริโภค การผลิตจะมีแต่ลดลง
10 ธ.ค. 2562 เวลา 07.18 น.
Pik ถ้าไปลงในกองทุนเน่าๆ ผู้บริหารกองทุนมือไม่ถึง ผ่านไป 10 ปีก็ไม่ได้ผุดไม่ได้เกิดครับ ไปซื้อพันธบัตรรัฐบาลปลอดภัยกว่ามั๊ย ต้องระวังนะครับ
10 ธ.ค. 2562 เวลา 05.44 น.
พี่ฟู สังคมสมัยนี้อย่าพูดถึงเงินล้านเลย แค่อยู่ให้ได้โดยไม่มีหนี้สินนี้ก็มีความสุขแล้ว
07 ธ.ค. 2562 เวลา 09.44 น.
ธวัลรัตน์ บางคนยังคิดว่าของฟุ่มเฟือยคือของจำเป็น ยังแยกไม่ออก
07 ธ.ค. 2562 เวลา 09.39 น.
ดูทั้งหมด