ถ้าคิดว่าชีวิตนี้คือการวิ่งเข้าเส้นชัย วัยสามสิบกว่าๆก็นับว่าวิ่งกันมาประมาณครึ่งทางแล้ว ได้เห็นสิ่งแวดล้อมริมทาง ได้ลองทำนู่นทำนี่มาพอสมควรแล้ว ถึงแม้ว่ายุคนี้เราจะถูกคนรอบข้างบอกกรอกหูเราเป็นประจำว่า
คนที่อยู่วัยสามสิบ ควรจะต้องมีครอบครัวเป็นของตัวเอง บางคนขีดเส้นเงินเดือนหรือตำแหน่งในองค์กรว่าต้องได้เท่านี้ หรือต้องมีเท่านั้นแล้ว บางคนนิยามด้วยทรัพย์สินชิ้นใหญ่ ไม่ว่าจะบ้านหรือรถยนต์ก็ต้องมีเป็นของตัวเองได้แล้ว บางทีมีกำชับด้วยนะว่าช้ากว่านี้คือไม่ทันแล้ว
การตั้งเป้าหมายใหญ่ให้ตัวเองนับเป็นการตั้งหลักไมล์ในชีวิตที่ดี แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าหลักไมล์ของคนอื่นนั้นจะเหมาะกับเราได้ เพราะถ้าชีวิตคือการวิ่งเข้าเส้นชัย แต่ละคนก็วิ่งด้วยความเร็วไม่เท่ากัน ลู่วิ่งแต่ละคนก็ไม่ได้ราบเรียบและสม่ำเสมอเท่าเทียมกันทุกคนเหมือนวิ่งในสนามโอลิมปิก
แต่ผมพบว่าในวัยสามสิบ นอกจากการสร้างหลักปักฐานอันมั่นคงให้ชีวิตแล้ว มันยังมีเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ที่ผมเพิ่งเริ่มลงมือทำมาได้ไม่นานนี้เอง
หลายเรื่องเป็นสิ่งที่เราอาจจะเคยคิดมาบ้างตอนเด็กๆ หรือตอนเรียนจบใหม่ๆ แต่มันก็มีข้อจำกัดบางอย่างที่ทำให้มันเป็นไปได้ยาก หรือบางทีเราก็แค่ขี้เกียจ อยากเอาเวลาไปทำอย่างอื่นแทน และนี่คือห้าสิ่งที่ที่ผมรู้สึกดีที่ได้ทำในวัยสามสิบครับ
1. พาแม่ไปเที่ยวต่างประเทศ ที่ผ่านมาแค่การไปเที่ยวต่างประเทศโดยไม่ต้องขอตังค์แม่ก็ไม่ง่ายแล้ว แต่ผมเพิ่งพาคุณนายแม่ไปญี่ปุ่นด้วยกันเป็นครั้งแรก หลังจากนางเกี่ยงงอนมาหลายรอบ จนต้องใช้วิธีบังคับเอาพาสปอร์ตมา แล้วจองตั๋วเครื่องบินให้แบบไม่ต้องถามความเห็น
ซึ่งแม่ก็ให้ความร่วมมือดีมาก อะไรที่เราเคยกลัวเช่น กลัวแม่จะเหนื่อย กลัวแม่เดินเยอะ กลัวอาหารจะไม่ถูกปากแม่ เอาเข้าจริงคือนางจอยมาก เดินด้วยกันได้วันละสองหมื่นก้าว คอสตูมสำหรับชมซากุระคือยิ่งใหญ่มาก ซึ่งความแฮปปี้ของแม่ในทริปนี้ ทำให้ผมรู้สึกว่าเงินทุกบาทที่จ่ายไปในทริปนี้คุ้มแบบไม่มีอะไรต้องกังขาเลย
2. ทาครีมกันแดด อันนี้ฟังดูเป็นเรื่องเล็กน้อยมาก แต่นี่คือสิ่งที่ผมรู้สึกดีกับตัวเองมากที่ในที่สุด ผมก็สามารถบังคับให้ตัวเองทาครีมกันแดดทุกวันก่อนออกจากบ้านได้ หลังจากที่เพื่อนที่เป็นหมอผิวหนังของผมบังคับขู่เข็ญไม่ได้ผลมาหลายปี
จนมันพูดมาประโยคเดียวว่า “การป้องกันมันง่ายกว่า และถูกกว่าการต้องมาแก้ไขทีหลังนะ” เท่านั้นแหละครับ ผมก็ฝืนตัวเองให้ทาครีมกันแดดก่อนออกจากบ้านทุกวันจนเป็นนิสัยได้สำเร็จ และเพื่อนผมคนเดิมก็ยังบอกให้ผมใช้ไหมขัดฟันทุกวันสำเร็จในปีถัดมาด้วย
3. ใช้โซเชียลมีเดียอย่างพอดี ผมเชื่อว่าทุกคนรู้อยู่แล้วว่าโซเชียลมีเดีย มีทั้งประโยชน์และโทษที่แพคคู่มาพร้อมกัน หลายคนเริ่มรู้สึกว่าตัวเองใช้เวลากับมันมากเกินไป แต่จะให้เลิกใช้ก็ยากอยู่ดี ผมเองก็พบว่าการเสพติดโซเชียลมีเดียทำให้ผมสมาธิสั้นลง
อ่านหนังสือได้ไม่นาน ซึ่งสิ่งที่ผมเริ่มทำในช่องสองสามปีมานี้คือ การปิด notification ของโซเชียลมีเดียทั้งหมด ไม่มีอะไรเด้ง ไม่มีตุ่มแดง ไม่มีอะไรทั้งนั้น
ซึ่งพบว่าชีวิตไม่ได้มีอะไรขาดหายไปเลย ทุกอย่างยังปกติดี ตอนนี้ผมเริ่มเอาแอพโซเชียลบางอันไปซ่อนไว้ในหน้าท้ายๆของจอให้มันเข้ายากขึ้น ในไอแพดก็เริ่มลบบางแอพทิ้งไว้ เป็นมาตรการแบบค่อยเป็นค่อยไปที่ทำให้ผมได้เวลากลับคืนมาเยอะมาก
4. ขอบคุณทุกครั้งที่มีโอกาส ผมเพิ่งค้นพบพลังของคำว่า “ขอบคุณ” เพราะที่ผ่านมา เราอาจจะพูดคำว่าขอบคุณกับคนที่เรารู้จัก หรือทำสิ่งสำคัญให้เรา
แต่การพูดขอบคุณกับเรื่องเล็กๆน้อยๆ ที่บางทีเรามองข้ามไป หรือกับคนที่ให้บริการเรา เช่น คนเก็บเงินค่าทางด่วน ป้าแม่บ้าน พี่ยามที่ออฟฟิศ พนักงานร้านอาหาร มันอาจจะดูแปลกๆตอนแรกนะครับว่าเรื่องแค่นี้ ไม่เห็นจะต้องขอบคุณเลย
แต่ผมพบว่าการขอบคุณในเรื่องเล็กๆน้อยๆ ที่บางครั้งอีกฝ่ายก็ไม่ได้คาดหวังอะไรจากเรา พอเขาได้ยินคำขอบคุณของเรา เราจะรู้สึกได้ถึงความรู้สึกดีแบบที่เราก็คาดไม่ถึงเหมือนกัน
🐇《\_Mai_/》🐇 กล่าวคำขอบคุณทุกครั้งกับพนักงานเก็บค่าทางด่วน กับพนักงานเสริฟ เหมือนกันครับ เป็นเรื่องเล็กๆที่ภูมิใจ
03 ต.ค. 2562 เวลา 13.45 น.
เราไม่ติดเครื่องเล่นต่างๆ เพราะเราชอบลืม เราจะอ่านแต่เรื่องที่มีสาระ เพราะข่าวที่อ่านไม่แน่ใจว่ามีความจริงเท่าไร บทความ ข้อความ ความคิด เราแลกเปลี่ยนกันได้เล่าสู่กันฟัง การขอบคุณ หรือขอบใจ เราทุกคนควรบอกให้คนที่เราสังคมด้วย คำพูดที่พูดแล้วเพื่อนรู้สึกดี มันคือมิตรภาพที่มีให้ซึ่งกันและกัน อย่างไรก็ดี ก็ต้องบอกว่าขอบใจที่ได้อ่านสิ่งที่ได้เขียนไว้
13 มิ.ย. 2562 เวลา 05.22 น.
คนเราเมื่อมีอายุมากขึ้นก็ย่อมที่จะต้องมีความรู้สึกนึกคิดที่จะต้องเปลี่ยนไปจากเดิมเป็นไปตามธรรมดา.
12 มิ.ย. 2562 เวลา 06.35 น.
ความจริงใจย่อมทำให้สิ่งดีๆเกิดขึ้นมาได้เสมอ.
12 มิ.ย. 2562 เวลา 05.18 น.
🦄บล🦄 จริงค่ะ..พูดถูก บางอย่างได้เริ่มทำตอนอายุ 39ปี นี้ล่ะค่ะ
11 มิ.ย. 2562 เวลา 12.07 น.
ดูทั้งหมด