การขนส่งนับเป็นปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อนกิจกรรมต่างๆ โดยเฉพาะอุตสาหกรรมการบินของไทยที่กำลังพัฒนาศักยภาพความพร้อมให้มีคุณภาพทัดเทียมมาตรฐานสากล ตั้งเป้าขึ้นเป็น “ฮับการบินในภูมิภาคอาเซียน” โดยชูจุดแข็งทางภูมิศาสตร์ของประเทศไทยที่ตั้งอยู่กึ่งกลางภูมิภาคอาเซียน ภาครัฐจึงได้มีการวางนโยบายให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการบินภูมิภาค โดยเมื่อเปรียบเทียบกับสิงคโปร์ที่นับว่าเป็นประเทศที่มีการวางเป้าหมายที่จะเป็นศูนย์กลางทางการบินเช่นกันแล้ว พบว่าประเทศไทยและสิงคโปร์มีเส้นทางการบินเชื่อมโยงกับประเทศต่างๆ ทั่วโลกใกล้เคียงกัน แต่หากพิจารณาเฉพาะการเชื่อมโยงในภูมิภาคจะพบว่า ไทยและสิงคโปร์มีเที่ยวบินเชื่อมต่อประเทศสมาชิกอาเซียนครบทั้ง 10 ประเทศ พิจารณาเฉพาะประเทศกัมพูชา สปป.ลาว เมียนมาร์ และเวียดนาม (CLMV) ซึ่งเป็นประเทศที่ศักยภาพในการดึงดูดการค้า การลงทุนรวมถึงการท่องเที่ยว จะพบว่าประเทศไทยมีความเชื่อมโยงกับกลุ่มประเทศดังกล่าวมากกว่า จึงนับว่าไทยมีจุดแข็งในด้านเส้นทางการบินในภูมิภาคอาเซียนมากกว่าสิงคโปร์ และเพื่อเป็นการผลักดันให้ศักยภาพของประเทศไทยให้สามารถเป็นฮับการบินในภูมิภาคอาเซียนได้อย่างที่ตั้งใจ สิ่งหนึ่งที่ต้องเร่งดำเนินการ คือ การเพิ่มขีดความสามารถของ “ท่าอากาศยานสนามบินสุวรรณภูมิ” ให้สามารถรองรับทั้งเที่ยวบิน และผู้โดยสารให้ได้มากขึ้น หลังจากที่เวลานี้ศักยภาพของท่าอากาศยานสนามบินสุวรรณภูมิ เต็มขีดความสามารถในการรองรับแล้ว ดังนั้น “บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน)” หรือ ทอท. จึงได้เสนอแผนพัฒนาศักยภาพท่าอากาศยานสนามบินสุวรรณภูมิ ให้ “สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ” (สศช.) พิจารณาใน 3 โครงการ มูลค่ารวม 72,600 ล้านบาท ประกอบไปด้วย ทางวิ่ง (รันเวย์) 3 วงเงิน 24,000 ล้านบาท, ส่วนต่อขยายอาคารผู้โดยสารหลังที่ 1 ฝั่งตะวันตกมูลค่า 6,600 ล้านบาท และอาคารผู้โดยสารหลังที่ 2 วงเงินลงทุน 42,000 ล้านบาท โดยเฉพาะการก่อสร้างอาคารผู้โดยสารหลังที่ 2 นั้น คาดว่าจะเพิ่มขีดความสามารถในการรองรับผู้โดยสารอีก 30 ล้านคนต่อปี ซึ่งโครงการก่อสร้างอาคารผู้โดยสารหลังที่ 2 ประกอบด้วย งานก่อสร้างอาคารผู้โดยสารหลังที่ 2 บริเวณด้านทิศเหนือของอาคารเทียบเครื่องบิน A มีพื้นที่ประมาณ 348,000 ตารางเมตร เป็นอาคารแบบ Multi-Terminal รองรับผู้โดยสารได้ 30 ล้านคนต่อปี แบ่งเป็นผู้โดยสารภายในประเทศ 12 ล้านคนต่อปี และผู้โดยสารระหว่างประเทศ 18 ล้านคนต่อปี พร้อมทั้งปรับปรุงลานจอดอากาศยานให้สอดคล้องกับอาคารผู้โดยสารโดยมีหลุมจอดประมาณ 14 หลุมจอด ,งานก่อสร้างปรับปรุงอาคารเทียบเครื่องบิน A, B และ C ,งานก่อสร้างอาคารบริการท่าอากาศยานครบวงจร (Airport Multiplex Building: AMB) ด้านทิศใต้ของอาคารผู้โดยสารหลังใหม่ พื้นที่อาคารประมาณ 84,000 ตารางเมตร สามารถจอดรถยนต์ในอาคารได้ประมาณ 1,000-1,500 คัน และมีลานจอดรถยนต์ภายนอกอาคารอีกประมาณ 1,500-2,000 คัน ,งานระบบขนส่งผู้โดยสารอัตโนมัติ โดยเป็นระบบรถไฟฟ้าเพื่อเชื่อมต่อการเดินทางของผู้โดยสารระหว่างอาคารผู้โดยสารหลัก (MTB) และอาคารเทียบเครื่องบิน A ในปัจจุบัน ไปยังอาคารผู้โดยสารหลังที่ 2 และเชื่อมต่อการเดินทางจากอาคารผู้โดยสารหลังที่ 2 กับสถานีรถไฟฟ้า Airport Rail Link มีระยะทางรวมทั้งระบบยาวประมาณ 2.5 กิโลเมตร ,งานระบบลำเลียงกระเป๋าสัมภาระผู้โดยสาร เพื่อรองรับผู้โดยสาร 30 ล้านคนต่อปี และเชื่อมต่อกับระบบของอาคารผู้โดยสารหลังปัจจุบัน ,งานก่อสร้างระบบถนนภายในท่าอากาศยานเพื่อใช้เป็นเส้นทางเข้าออกอาคารผู้โดยสารหลังที่ 2 และงานก่อสร้างระบบสาธารณูปโภคเพื่อให้สอดคล้องกับโครงการฯ ดังนั้นทอท.จึงเดินหน้าจัดประมูลออกแบบก่อสร้างอาคารผู้โดยสารหลังที่ 2 โดยผู้ชนะตกเป็นของ “ดีบีเอแอลพี-นิเคนเซกเก-อีเอ็มเอส-เอ็มเอชพีเอ็ม-เอ็มเอสอี-เออาร์เจ หรือกลุ่มของ นายดวงฤทธิ์ บุนนาค” ท่ามกลางเสียงคัดค้านผู้ชนะการประกวดราคาว่าตรงลักษณะการก่อสร้างหรือไม่ เช่น แม่แบบเป็นอาคารอิสระ แต่คณะผู้มีส่วนได้เสียอยากได้แบบอาคารเชื่อม ก็ต้องมีการปรับแบบดังนั้นหากปรับแบบแล้วมันแตกต่างจากของเดิมหรือวงเงินลงทุนเยอะขึ้น ก็ต้องล้มประมูลงานออกแบบเพื่อเปิดประมูลใหม่พร้อมกับเยียวยาค่าเสียหายให้กับผู้ชนะการประมูลในครั้งนี้ แต่แล้วทุกอย่างต้องหยุดชะงักเพราะเมื่อการประชุมคณะกรรมการบริหารทอท.เมื่อกลางเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา มีมติชะลอการพิจารณาโครงการก่อสร้างอาคารผู้โดยสารหลังที่ 2 ออกไปก่อน เนื่องจากขณะนี้มีผู้สงสัยว่า โครงการอาคารผู้โดยสารหลังที่ 2 วงเงิน 4.2 หมื่นล้านบาท ไม่ตรงตามรายงานผลการศึกษาขององค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (ICAO) และไม่เป็นไปตามแผนแม่บท (Master Plan) สนามบินสุวรรณภูมิ ดังนั้นเพื่อไม่ให้กระทบต่อภาพรวมโครงการพัฒนาขีดความสามารถของท่าอากาศยานสนามบินสุวรรณภูมิ จึงให้เดินหน้าโครงการส่วนที่เหลือแทนไปก่อน ขณะที่ทางด้าน น.ท.สุธีรวัฒน์ สุวรรณวัฒน์ ผู้อำนวยการท่าอากาศยานสนามบินสุวรรณภูมิ กล่าวถึงมาตรการรองรับหากต้องชะลอการก่อสร้างอาคารผู้โดยสารหลังที่ 2 ว่า คงต้องประสานไปยังท่าอากาศยานแห่งอื่น เช่น ท่าอากาศยานสนามบินเชียงใหม่ และท่าอากาศยานสนามบินเชียงราย ให้เตรียมรองรับเที่ยวบินเพิ่มเติมแทนท่าอากาศยานสนามบินสุวรรณภูมิ เนื่องจากขณะนี้ขีดความสามารถในการรองรับผู้โดยสารของอากาศยานสนามบินสุวรรณภูมิเกินขีดความสามารถแล้ว โดยช่วงเวลา 06.00-24.00 น. มีเที่ยวบินให้บริการเฉลี่ย 68 เที่ยวบินต่อชั่วโมง ไม่สามารถเพิ่มเที่ยวบินได้แล้ว ทั้งที่เวลานี้มีสายการบินจากจีนขอเพิ่มเที่ยวบินอีกวันละ 30 เที่ยวบิน รวมทั้งสายการบินจากอินเดียก็ขอเพิ่มเที่ยวบินด้วยเช่นกัน อย่างไรก็ตามแม้เวลานี้ทอท.จะมีแผนก่อสร้างทางวิ่งเส้นที่ 3 ที่ท่าอากาศยานสนามบินสุวรรณภูมิ แต่เมื่อแล้วเสร็จก็ยังไม่สามารถใช้ประโยชน์ได้เต็มศักยภาพอยู่ดี เพราะขณะนี้อาคารผู้โดยสารเต็ม ไม่สามารถรองรับผู้โดยสารได้เพิ่มแล้ว จึงทำให้ท่าอากาศยานสนามบินสุวรรณภูมิเสียโอกาสในการรองรับเที่ยวบินวันละ 34 เที่ยวบินต่อชั่วโมง หรือผู้โดยสารประมาณวันละ 1 แสนคน ส่วนนายนิตินัย ศิริสมรรถการ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ทอท. กล่าวว่า ในการประชุมคณะกรรมการทอท.(20ก.พ.62) มีมติให้เดินหน้าโครงการอาคารผู้โดยสารหลังที่ 2 ของท่าอากาศยานสนามบินสุวรรณภูมิ ซึ่งเป็นไปตามความต้องการ คณะกรรมการ Airport Consultative Committee (ACC) ซึ่งประกอบด้วย สายการบินและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับกิจการการบินร่วมเป็นกรรมการ ทั้งนี้ ทอท.จะนำเสนอเรื่องไปยังกระทรวงคมนาคม และเข้าพิจารณาในชั้นสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ก่อนนำเสนอต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่อขออนุมัติต่อไป แหล่งข่าวจากคณะกรรมการทอท. กล่าวว่า ที่ประชุมคณะกรรมการให้ยกเลิกผลการประมูลงานออกแบบอาคารผู้โดยสารหลังที่ 2 ซึ่งมีกลุ่มนิติบุคคลร่วมทำงาน ดีบีเอแอลพี-นิเคนเซกเก หรือ กลุ่มดวงฤทธิ์ บุนนาค เป็นผู้รับเลือก โดยคณะกรรมการมอบหมายให้ ทอท. เป็นผู้ออกแบบเอง
แบ่งกันยังไม่ลงตัว
23 ก.พ. 2562 เวลา 18.35 น.
Pui 2024 จริงๆ สนามบินมันเต็มตั้งแต่เปิดใช้แล้ว
ถ้าไม่เปิดดอนเมือง สุวรรณภูมิคงแตกไปแล้ว
10 ปีที่ผ่านมา มัวทำไรอยู่ละ
Terminal 2,3,4 และ Runway 3,4 ควรเริ่มทยอยสร้างไปนานแล้ว
23 ก.พ. 2562 เวลา 10.33 น.
Rangsan Krab ทำตามรูปแบบเดิมตั้งแต่ต้นก็ไม่มีปัญหา ดันมาทำตามใจบางคนก็เลยยุ่ง
23 ก.พ. 2562 เวลา 07.23 น.
ดูทั้งหมด