ประเด็นที่ร้อนแรงที่สุดในสังคมการเมืองไทยในห้วงยามนี้ คงไม่มีเรื่องไหนร้อนเกินไปกว่าประเด็นที่นายกฯ และคณะรัฐมนตรีถูกร้องเรียนว่า “ถวายสัตย์” ไม่ครบ
เรื่องนี้สืบเนื่องมาจากการที่ฝ่ายค้านได้ตั้งข้อสังเกตว่า ในพิธีถวายสัตย์ปฎิญาณก่อนเข้ารับหน้าที่ เมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม 2562 ณ พระที่นั่งอัมพรสถาน นายกฯ ในฐานะหัวหน้าคณะรัฐมนตรีกล่าวถ้อยคำถวายสัตย์ไม่ครบถ้วนตามถ้อยคำที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ มาตรา 161
ที่มีถ้อยคำสมบูรณ์ว่า “ข้าพระพุทธเจ้า (ชื่อผู้ปฎิญาณ) ขอถวายสัตย์ปฏิญาณว่า ข้าพระพุทธเจ้าจะจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์และจะปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริตเพื่อประโยชน์ของประเทศและประชาชน ทั้งจะรักษาไว้และปฏิบัติตาม ซึ่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยทุกประการ”
โดยประโยคที่ขาดหายไปในการกล่าวคำถวายสัตย์ของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา คือ ประโยคสำคัญที่ว่า “ทั้งจะรักษาไว้และปฏิบัติตาม ซึ่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยทุกประการ” นอกจากนั้นยังมีการเติมคำว่า “ตลอดไป” เข้าไปในช่วงท้ายหลังคำว่าประชาชน
พิธีกรรมทางการเมืองตามรัฐธรรมนูญซึ่งควรจะเรียบง่ายและราบรื่น กลายมาเป็นปมเงื่อนปัญหาที่ตึงเครียดแก่รัฐบาลและผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง กระทั่งกระทบต่อเสถียรภาพและความชอบธรรมของรัฐบาล เพราะอาจมีผลทำให้การกระทำของรัฐบาลตั้งแต่รับตำแหน่งเป็นต้นมา ไม่ว่าจะเป็นการตั้งคณะรัฐมนตรี การแถลงนโยบาย และการโยกย้ายข้าราชการมีผลเป็นโมฆะ ต้องกลับไปนับหนึ่งใหม่
ไม่มีใครคาดคิดมาก่อนว่าปมปัญหานี้จะกลายมาเป็นจุดสะดุดของรัฐบาล ผ่านไปแล้วหนึ่งเดือนกว่าปมปัญหานี้ก็ยังคงเป็นปมที่คลี่คลายไม่สิ้นสุด ล่าสุด ในวันที่ 27 ส.ค.ที่ประชุมผู้ตรวจการแผ่นดินมีมติให้ส่งเรื่องนี้ไปยังศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อให้ศาลวินิจฉัยว่าการที่นายกฯ กล่าวคำถวายสัตย์ปฎิญาณตนไม่ครบถ้วนนั้นเข้าข่ายขัดรัฐธรรมนูญ
เรื่องจึงยังไม่จบ และต้องลุ้นกันต่อไป
ทั้งนี้ไม่ว่าศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำตัดสินอย่างไร ปมปัญหานี้จะกลายเป็นประเด็นศึกษาในประวัติศาสตร์ในภายภาคหน้า ถึงจุดเริ่มต้นของรัฐบาลชุดนี้ และที่สำคัญ จากผลสำรวจความเห็นของประชาชนโดยสวนดุสิตโพล ประชาชนถึง 77.20% เห็นว่าฝ่ายค้านมีเหตุผลเพียงพอในการยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปนายกฯ กรณีถวายสัตย์ไม่ครบถ้วนตามรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นตัวเลขที่สูงมากทีเดียว
สะท้อนว่าประชาชนติดตามและให้ความสำคัญกับเรื่องนี้
ฉะนั้นเรื่องนี้อาจยุติลงในทางกฎหมายหลังคำตัดสิน แต่อาจไม่ยุติในทางอารมณ์ความรู้สึกและความรับรู้ในใจประชาชน
จนถึงวันนี้มีความพยายามอธิบายปัญหานี้จากหลายทฤษฎี ทั้งฝ่ายที่สนับสนุนและคัดค้านรัฐบาลต่างออกมาให้ความเห็นกันอย่างหลากหลาย ตั้งแต่ทฤษฎีที่บอกว่า เป็นความตั้งใจของนายกฯ ที่จะกล่าวไม่ครบ
บางคนบอกว่าเป็นความผิดพลาดที่ไม่ได้ตั้งใจ ในขณะที่บางคนเชื่อว่ามีการ “วางยา” รัฐบาลชุดนี้ รวมถึงทฤษฎีแบบสมคบคิดอีกมากมาย (conspiracy theory) สืบเนื่องมาจากคำพูดปริศนาของดร.วิษณุ เครืองาม มือกฎหมายของรัฐบาลซึ่งถูกตีความกันอย่างกว้างขวางพิสดาร
สำหรับผู้เขียน คำอธิบายแรกว่ารัฐบาลจงใจถวายสัตย์ไม่ครบนั้นยังฟังดูมีน้ำหนักน้อย เพราะแลไม่เห็นประโยชน์เท่าใดนักที่จะจงใจไม่กล่าว เพราะคำอธิบายที่บอกว่ารัฐบาลอาจจะเตรียมการทำผิดรัฐธรรมนูญหรือมีการรัฐประหารล้มเลิกรัฐธรรมนูญฉบับนี้ในอนาคต จึงละเว้นไม่กล่าว
แต่หากเราย้อนกลับไปดูในอดีต การรัฐประหารทุกครั้งที่มีการฉีกรัฐธรรมนูญ ก็ไม่มีคณะรัฐประหารชุดใดมานั่งกังวลว่าตนเองทำผิดกฎหมายอยู่แล้ว ยิ่งพิจารณาจากผลสืบเนื่องที่ตามมาจนถึงตอนนี้ ยิ่งเห็นว่าการถวายสัตย์ไม่ครบก่อให้เกิดผลเสียมากกว่าได้
คำอธิบายที่ว่าเป็นความผิดพลาดตกหล่นโดยไม่ได้ตั้งใจ คืออ่านพลาดหรือสคริปต์ตกหล่นในขั้นเตรียมการ ก็ยากที่จะเป้นไปได้ เพราะเอกสารและพิธีการที่มีความสำคัญระดับนี้ย่อมต้องผ่านการตรวจตราจากผู้ที่เกี่ยวข้องอย่างละเอียดถี่ถ้วน
เรื่องนี้จึงยังคงเป็นปริศนาแก่ชนรุ่นหลังต่อไป
กรณีถวายสัตย์ปฏิญาณนี้สะท้อนความจริงข้อหนึ่งในการเมืองไทย คือ เป็นการเมืองที่เต็มไปด้วยการต่อสู้เชิงสัญลักษณ์ พิธีกรรมพิธีการต่างๆ นั้นมีการเมืองและการแสดงออกของความสัมพันธ์เชิงอำนาจซ่อนอยู่เสมอ โดยการเมืองเชิงสัญลักษณ์นี้เป็นสิ่งที่มองด้วยตาเปล่าอย่างเดียวอาจจะไม่เห็น
ยิ่งมองการเมืองแบบลายลักษณ์อักษรแบบตรงไปตรงมา ยิ่งมองไม่เห็น เพราะความหมายมักจะถูกใส่รหัสและใส่ความหมายซ่อนอยู่เบื้องหลัง ซึ่งต้องอาศัยความรู้ความเข้าใจทั้งในเชิงประวัติศาสตร์ และในทางการเมืองวัฒนธรรมมา “ถอดรหัส” ที่ซ่อนอยู่
หากอยากเข้าใจการเมืองไทยโดย จึงต้องเข้าใจการเมืองเชิงสัญลักษณ์และการเมืองเชิงพิธีกรรม
โดยเฉพาะการเข้าใจรัฐธรรมนูญ สิ่งที่เรียกว่า “รัฐธรรมนูญ” ในสังคมไทยไม่ได้มีฐานะเป็นแค่กฎกติกาลายลักษณ์อักษรที่กำหนดความสัมพันธ์เชิงอำนาจแบบที่นักนิติศาสตร์และรัฐศาสตร์อธิบายเท่านั้น แต่รัฐธรรมนูญมีฐานะเป็นสัญลักษณ์ทางการเมืองในตัวมันเองด้วย ซึ่งในความหมายนี้ เราไม่ได้พูดถึงรัฐธรรมนูญฉบับใดฉบับหนึ่ง แต่พูดถึงรัฐธรรมนูญในฐานะคุณค่านามธรรม)
บังเอิญผมได้มีโอกาสอ่านหนังสือเรื่อง “ราษฎรธิปไตย: การเมือง อำนาจ และทรงจำของ(คณะ)ราษฎร” ที่เขียนโดยอาจารย์ศรัญญู เทพสงเคราะห์ นักวิชาการประวัติศาสตร์รุ่นใหม่ที่มีผลงานน่าจับตา ยิ่งทำให้เข้าใจการเมืองเชิงสัญลักษณ์ของรัฐธรรมนูญในสังคมไทยมากยิ่งขึ้น
หนังสือเล่มดังกล่าวชี้ให้เห็นว่ารัฐธรรมนูญซึ่งเป็นสถาบันการปกครองสมัยใหม่ที่ถูกสถาปนาขึ้นหลังจากการปฏิวัติ 2475 โดยคณะราษฎรนั้น เป็นสถาบันที่มีชะตาชีวิตที่ผันผวน เนื่องจากฝ่ายต่างๆ ต่างแย่งชิงให้ความหมาย
แรกเริ่มของการสถาปนาหลักการปกครองรัฐธรรมนูญหลัง พ.ศ. 2475 คณะราษฎรต้องพยายามวางรากฐานความรู้ความเข้าใจให้ประชาชนรู้จักธรรมเนียมการปกครองในระบอบใหม่และยุคสมัยใหม่ ที่นับจากนี้ประเทศสยามจะถูกปกครองโดยหลักกฎหมาย มิใช่การปกครองโดยตัวบุคคล และทุกคนต้องอยู่ภายใต้กฎหมายอย่างเสมอภาคกันหมด มิสามารถมีใครใช้อำนาจเกินขอบเขตที่กฎหมายสูงสุดซึ่งก็คือรัฐธรรมนูญได้ระบุไว้
รัฐธรรมนูญจึงมิใช่แค่เศษกระดาษที่ปราศจากคุณค่า แต่คือหลักการปกครอง และคือสัญลักษณ์ทางการเมืองที่สะท้อนคุณค่าของการอยู่ร่วมกันภายใต้กฎหมายที่พลเมืองมีส่วนร่วมสร้างและเปลี่ยนแปลงได้ตามกาลเวลา มันคือสัญญาประชาคมของคนทั้งสังคมร่วมกัน ที่ต้องการสร้างหลักประกันไม่ให้ใครใช้อำนาจได้ตามอำเภอใจเหมือนการปกครองช่วงก่อนการปฏิวัติ 2475
การปกครองตามหลักรัฐธรรมนูญที่ดีจะสร้างหลักประกันแห่งสิทธิและเสรีภาพของพลเมือง (ที่ไม่ใช่ราษฎรที่ไร้อำนาจอีกต่อไป) จำกัดอำนาจของผู้ปกครอง และเป็นแหล่งที่มาของอำนาจที่ชอบธรรม
สำหรับคณะราษฎร รัฐธรรมนูญเป็นสัญลักษณ์ที่สื่อถึงการเปลี่ยนแปลงการปกครองที่ทำให้ประชาชนเป็นเจ้าเหนือชีวิตตนเอง ทำให้ประชาชนเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตย และความหมายเชิงสัญลักษณ์ดังกล่าวนี้ถูกสื่อสารผ่านประดิษฐ์กรรมและพิธีกรรมต่างๆ มากมาย นับตั้งแต่การจัดให้มีวันรัฐธรรมนูญ งานฉลองรัฐธรรมนูญประจำปี อนุสาวรีย์รัฐธรรมนูญที่ตั้งอยู่ทั้งในกรุงเทพฯ และจังหวัดต่างๆ
การประกวดคำขวัญและเรียงความ และการแต่งเพลง กระทั่งกลอนหมอลำเพื่อแพร่กระจายความสำคัญของการปกครองตามหลักรัฐธรรมนูญแก่ประชาชนทั่วไปในวงกว้าง ให้หวงแหนอำนาจและสิทธิเสรีภาพที่จะกำหนดชีวิตตนเองและประเทศชาติ มิใช่การปกครองที่ปราศจากกฎเกณฑ์ ที่ผู้ปกครองสามารถใช้อำนาจโดยปราศจากการตรวจสอบถ่วงดุล
การถวายสัตย์ปฏิญาณว่าจะธำรงรักษาและปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญ จึงมีความหมายที่ลึกซึ้งยิ่ง เพราะมันไม่ได้หมายความถึงการเคารพและรักษากติกาของรัฐธรรมนูญฉบับใดฉบับหนึ่ง แต่หมายถึงการเคารพและยอมรับต่อหลักการปกครองโดยรัฐธรรมนูญ (constitutional rules) ที่ประชาชนเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยและทุกคนต้องเสมอภาคกันภายใต้กฎหมาย ซึ่งเป็นหลักการหัวใจของการปกครองในยุคสมัยใหม่
การตกหล่นขาดหายไปของถ้อยคำจึงสื่อนัยถึงสภาวะที่คุณค่าหลักการดังกล่าวกำลังตกหล่นขาดหายไป และถูกท้าทายอย่างมีนัยสำคัญ
JEWEL สั้นๆ ถ้าอีกฝ่ายหนึ่ง กล่าวไม่ครบถ้วนบ้าง ผลจะเป็นอย่างไร...
03 ก.ย 2562 เวลา 09.26 น.
Tosapol รัฐธรรมนูญบอกก็ต้องทำตามสิ ไม่งั้นจะมีรัฐธรรมนูญไว้ทำไม?
03 ก.ย 2562 เวลา 11.15 น.
Kong ไม่เฉพาะฝ่ายค้านหรอกนะประชาชนก็สนใจสงสัยการกระทำเยี่ยงนี้เช่นกัน บังคับให้ทุกคนเคารพกฎหมายที่พวกตนเขียนแต่ทำตัวอยู่เหนือกฎหมายเสียเองมันสมควรลาออก
03 ก.ย 2562 เวลา 10.05 น.
Moo -NIPON จงใจหรือไม่จงใจ กล่าวไม่ครบถือว่าขัดกฎหมายรัฐธรรมนูญ อยากรู้เหมือนกันว่าศาลรธน.จะออกหัวออกก้อย สุดท้ายองค์กรที่หมดความศรัทธาคือองค์กรอิสระเหมือนที่ผ่านมาซึ่งออกนำไปสู่การชุมนุมของประชาชนที่รับไม่ได้คล้ายกับนาฬิกายืมเพื่อนแหวนเพชรของแม่
03 ก.ย 2562 เวลา 10.07 น.
ชลาลัย ธูปพุทธา ยาวก็เท่านั้น สั้นก็เท่านั้น เจตนากับตั้งใจแตกต่างกันไหม ต่อหน้าพระพักตร์ฯลฯ เกิดมาอายุขนาดนี้ ยังไม่เคยเห็นใครถือกระดาษแผ่นเดียวถวายรายงาน ไม่ใช่แค่ปฐมบทไม่ครบ พิธีการก็บกพร่อง เจตนาบกพร่องหรือตั้งใจทำเพื่ออะไร ปัญหาไม่ใช่ลักษณะแต่เป็นการกระทำ
03 ก.ย 2562 เวลา 12.01 น.
ดูทั้งหมด