ค่ายกักกันเอาชวิทซ์หนึ่งในสถานที่อันน่าสยดสยองอันเป็นตำนานที่แสดงให้เห็นถึงความเลวร้ายของพวกนาซี และคำตอบของหนทางสุดท้ายของการแก้ปัญหาชาวยิว อันมาจากการประชุมของผู้นำระดับสูงของพรรคนาซีเมื่อครั้งสมัยที่เรืองอำนาจสูงสุด เชื้อชาติที่พรรคนาซีจงเกลียดจงชังเป็นหนักหนาและไม่สมควรจะมีชีวิตร่วมโลกกับพวกเขาอีกต่อไป ถูกกวาดต้อนมาจากเมืองต่าง ๆ ในยุโรป ซึ่ง ณ เวลานั้นถูกกองทัพนาซีเยอรมันยึดครอง พวกเขาถูกใช้แรงงานถูกนำไปทดลองทางวิทยาศาสตร์ และเมื่อหมดประโยชน์พวกเขาก็จะถูกฆ่าอย่างเป็นระบบ
ค่ายมรณะแห่งนี้ก็ขึ้นชื่อในเรื่องของการฆ่าคราวละมาก ๆ มันล้างผลาญชีวิตผู้บริสุทธิ์กว่า 3 ล้านคน สังเวยชีวิตให้แก่ความจงเกลียดจงชังที่มาจากอคติของคนเพียงคนเดียว
นอกเหนือจากคนเชื้อสายยิวแล้ว บางชนชาติที่พรรคนาซีมองเห็นว่า “ต่ำต้อย” หรือ “ไร้ประโยชน์” พวกเขาก็จะถูกส่งไปยังค่ายกักกันหรือค่ายมรณะเพื่อรอการสังหารต่อไป คนเหล่านี้ได้แก่ คนพิการทุพพลภาพต่าง ๆ ทั้งทางร่างกายและสติปัญญา, ชาวแอฟริกัน, ชาวสลาฟ, และชาวยิปซี ชะตากรรมของพวกเขาเหล่านี้ก็ไม่ต่างจากคนเชื้อสายยิวที่ชีวิตและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์จบสิ้นลงแล้ว พวกเขาเป็นแต่เพียงของเล่นที่ผู้ชนะจะทำเช่นไรก็ได้ ชีวิตที่เหมือนตายทั้งเป็นในค่ายกักกันคือความหฤโหดทุกวินาทีที่พวกเขาต้องเผชิญเมื่อยังมีลมหายใจอยู่ในค่ายแห่งนี้ สิ่งเดียวที่พวกเขาจะเรียกร้องจากผู้ชนะได้นั่นก็คือ “ความตาย” เพื่อยุติความทรมานที่กำลังเผชิญ
ครอบครัวโอวิทซ์
มีเรื่องราวของบุคคลที่ต้องมาพบเจอชะตากรรมในค่ายมรณะแห่งนี้หลายคน หนึ่งในเรื่องราวของการดิ้นรนเอาชีวิตรอดจากค่ายแห่งนี้ก็คือเรื่องราวของ “ครอบครัวโอวิทซ์” (Ovitz family)ที่ต้องใช้ชีวิตขาด ๆ หาย ๆ ในค่ายมรณะแห่งนี้ นอกจากพวกเขาจะมีเชื้อสายยิวแล้ว ครอบครัวโอวิทซ์ทั้งหมดยังมีลักษณะเด่นที่เห็นได้ชัดเจนจากสภาพร่างกายของคนในตระกูลคือ “พวกเขาทั้งหมดเป็นคนแคระ”
ครอบครัวโอวิทซ์เป็นชาวฮังการเรียนเชื้อสายยิวที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านโรซาฟแล (Rozavlea) เมืองทรานซิลวาเนีย (Transylvania) ประเทศโรมาเนีย โดยมีหัวหน้าครอบครัวคือ ซิมสัน ไอซิค โอวิทซ์ นักพูดและแรบไบ (Rabbi เป็นภาษาฮิบรูแปลว่า “อาจารย์” เป็นคำที่ใช้ในศาสนายูดาห์ที่หมายถึงผู้สอนศาสนา) ร่างแคระอันมีชื่อเสียงในยุคนั้น เขาแต่งงานสองครั้งและกลายเป็นพ่อของเด็กทั้ง 10 คน โดยในจำนวนนี้ 7 คน มีร่างกายที่แคระ ลูกที่เกิดจากการแต่งงานครั้งแรกของเขากับบราน่า ฟรูชเทอร์ (ซึ่งเธอมีร่างกายสูงปกติ) ได้แก่ โรซิก้าและแฟรงค์ซิก้า ทั้งคู่มีร่างกายแคระ และภรรยาคนที่สองชื่อบาเทีย เบอร์ธ่า ฮูสซ์ (ซึ่งเธอมีร่างกายสูงปกติ) มีลูกด้วยกัน 8 คน ได้แก่ อับราม,ฟรีด้า (ร่างแคระ) ซาร่าห์ (ร่างแคระ), มิคกิ (ร่างแคระ), ลีอาห์, อีลิซาเบธ (ร่างแคระ),อารี่ และ ปีรอฟสก้า (ร่างแคระ)
แม่ของพวกเขาต่างมีความกังวลต่ออนาคตของลูก ๆ อันเนื่องจากรูปลักษณ์ที่แลดูอัปลักษณ์เช่นนี้ อาชีพใดเล่าที่จะเหมาะกับพวกเขาในการทำมาหากินในสังคมของยุโรปที่มีแต่ต้องดิ้นรนในตอนนั้น แต่แม้พี่น้องจะเกิดจากคนละแม่และมีบางคนร่างกายสมบูรณ์และไม่สมบูรณ์ แต่พวกเขาทุกคนก็รักกันมากและคอยช่วยเหลือกันในทุก ๆ เรื่อง โชคยังดีที่พี่น้องของพวกเขาบางคนมีพรสวรรค์ทางดนตรี และการแสดงบนเวทีดูเหมือนจะเป็นตัวเลือกที่ดีในการประกอบอาชีพเพื่อความอยู่รอดของครอบครัว
ตอนที่ยังเป็นเด็ก พวกเขาได้ก่อตั้งคณะแสดงโชว์ของตนเองที่มีชื่อว่า ลิลิพุท ทรูป ขึ้นมาเอง พวกเขาเดินทางออกไปแสดงดนตรีและร้องเพลงในเมืองต่าง ๆ ของโรมาเนีย, ฮังการี่ และเชคโกสโลวะเกียในช่วงทศวรรษที่ 1930 และ 1940 สมาชิกครอบครัวที่ตัวสูงกว่าจะคอยช่วยเหลืออำนวยความสะดวกต่าง ๆ ด้านหลังเวที นักแสดงของตระกูลโอวิทซ์ พูดและร้องเพลงในภาษาท้องถิ่นต่าง ๆ ทั้งภาษายิดดิช, ฮังกาเรียน, โรมาเนียน, รัสเซียนรวมถึงเยอรมันด้วยเช่นกัน พวกเขาสร้างเสียงหัวเราะและความสุขให้แก่ประชาชนในที่ต่าง ๆ ที่ได้มาชมการแสดง รูปลักษณ์ที่ดูแปลกตา มันยิ่งชวนให้ขบขันมากขึ้นเมื่อพวกเขาแสดงละครตลกหรือร้องเพลง นั่นจึงทำให้การแสดงของคณะแสดงโชว์ตระกูลโอวิทซ์เป็นที่กล่าวขานไปทั่ว เมื่อยามที่พวกเขาไม่ได้เดินทางออกไปแสดงโชว์ที่ไหน พวกเขาทั้งหมดก็พักอาศัยอยู่ในบ้านหลังเดียวกันอย่างมีความสุข
สู่ค่ายมรณะ
เมื่อพวกนาซีเถลิงอำนาจและรุกรานชาติต่าง ๆ ในยุโรป สงครามโลกได้เกิดขึ้นอีกครั้ง และมันทำให้การทำมาหากินของคณะแสดงโชว์ตระกูลโอวิทซ์ต้องลำบากอย่างมาก งานแสดงต่าง ๆ ถูกยกเลิก สถานที่ที่พวกเขาเคยไปและได้รับการต้อนรับจากผู้คนอยู่เสมอ ๆ กลับกลายเป็นสนามรบที่มีแต่ซากปรักหักพังและซากศพ เงามัจจุราชนาซีค่อย ๆ ปรากฏกายที่เส้นขอบฟ้า และมันพรากผลาญชีวิตคนเชื้อชาติต่าง ๆ ที่พวกเขามองว่าต่ำต้อยลงไปเรื่อย ๆ นักแสดงร่างแคระแห่งตระกูลโอวิทซ์ที่เร่แสดงโชว์ตามที่ต่าง ๆ ในยุโรปซึ่งไม่มีพิษภัยใด ๆ ก็เป็นเป้าหมายสำคัญที่กำลังจะถูกกำจัด
ตระกูลโอวิทซ์กำลังจะเผชิญกับความลำเค็ญจากนโยบายจองล้างจองผลาญชาวยิวของพวกนาซี ในตอนแรกรัฐบาลโรมาเนียซึ่งเป็นพันธมิตรกับเยอรมนีไม่ได้ส่งตัวครอบครัวนี้ให้ทางการเยอรมนี แต่ยังปล่อยให้ตระกูลโอวิทซ์ยังคงแสดงโชว์ต่อไปได้ จนกระทั่งมีกฎหมายที่ห้ามนักแสดงเชื้อสายยิวทำการแสดง นั่นจึงทำให้ตระกูลโอวิทซ์ไม่มีงานทำ สภาพความเป็นอยู่ของประเทศช่วงสงครามก็แร้นแค้น อาหารการกินและเครื่องอุปโภคบริโภคขาดแคลนอย่างหนัก สมาชิกทุกคนในครอบครัวพยายามอย่างยิ่งที่จะดิ้นรนเพื่อมีชีวิตรอดในยามสงครามเช่นนี้
แต่แล้ววันที่ 12 พฤษภาคม ค.ศ. 1944 บ้านที่พวกเขาอยู่อย่างเป็นสุขมาตั้งแต่เกิดก็ถูกทหารบุกจับกุม พ่อ แม่ ลูก ๆ ทุกคนรวมแล้ว 12 ชีวิต ถูกจับส่งไปยังค่ายกักกันเอาชวิทซ์ โชคชะตาที่พลิกผันและความพิการที่มาจากกำเนิดและเชื้อชาติที่ผู้ชนะไม่ต้องการ คือสิ่งที่ย้ำชัดว่า พวกเขาทั้งหมดต้องถูกำจัด มันเป็นเรื่องยากที่ทั้งครอบครัวจะรอดชีวิตจากค่ายมรณะแห่งนี้ ช่างน่าเศร้าคือเมื่อตอนที่พวกเขาถูกจับกุม หนึ่งในสมาชิกของครอบครัวโอวิทซ์คนที่มีอายุมากสุดคือ 58 ปี และหนึ่งในนั้นก็มีเด็กที่อายุเพียง 18 เดือนเท่านั้น
หนูทดลอง
ที่ค่ายมรณะเอาชวิทซ์แห่งนี้ ปรากฏชื่อหนึ่งในบุคคลผู้เป็นตำนานของความชั่วร้ายที่ทำให้คนทั้งโลกต้องสะอิดสะเอียนกับสิ่งที่เขาได้กระทำในค่ายมรณะ ผู้นั้นก็คือนายแพทย์โยเซฟ แมงเกอเลอะ ผู้ได้รับฉายาว่า “ยมฑูต” เป็นผู้รับผิดชอบในการทดลองทางวิทยาศาสตร์ โดยการนำคนเชื้อสายยิวและเชื้อชาติต่าง ๆ รวมถึงผู้พิการ ฝาแฝด หรือใครก็ตามที่เขาต้องการนำมาทดลอง จะถูกนำมาใช้เพื่อการทดลองต่าง ๆ โดยไม่ต้องคำนึงว่าการทดลองนั้นจะส่งผลให้ถึงแก่ชีวิตหรือไม่ และด้วยความแคระของร่างกายที่ปรากฏให้นายแพทย์จอมโฉดคนนี้ได้เห็นก็เป็นที่ดึงดูดให้เขาสนใจครอบครัวโอวิทซ์เป็นอย่างยิ่ง เขาสั่งแยกครอบครัวโอวิทซ์ออกจากห้องคุมขังและเพิ่มรายชื่อของสมาชิกทุกคนในครอบครัวนี้ลงในรายชื่อที่จะต้องถูกนำไปทดลอง เพื่อสนองความอยากรู้ของนายแพทย์แมงเกอเลอะ ที่ต้องการจะศึกษาถึงสาเหตุของการกำเนิดของสมาชิกในครอบครัวนี้ว่าเพราะเหตุใดและอะไรคือสิ่งที่ทำให้พวกเขาเกิดมาเป็นเช่นนี้
การมีรายชื่ออยู่ในบัญชีที่จะต้องถูกทดลองของนายแพทย์แมงเกอเลอะ คือบัญชีตายที่ไม่ว่าใครก็ตามในค่ายไม่ต้องการจะมีชื่อของตนเองอยู่ในนั้น แต่ครอบครัวคนแคระจากโรมาเนียนี้ คือความสนใจอันดับแรกของเขาที่จะต้องนำตัวมาดูแลเป็นการเฉพาะ นายแพทย์แมงเกอเลอะมีฝาแฝดหลายร้อยคนที่เขากำลังนำตัวมาทดลองและในการทดลองนั้นก็ทำให้ฝาแฝดเหล่านี้จบชีวิตลงเป็นจำนวนมาก นอกจากนี้เขายังมีมนุษย์ที่สามารถนำมาทดลองอีกเป็นจำนวนมากเพื่อใช้ในการทดลองอันหฤโหดนี้ได้เรื่อย ๆ แต่ทว่า…
ถึงเขาจะมีมนุษย์ที่สามารถนำมาทดลองได้อีกเป็นจำนวนมาก แต่ทั่วทั้งค่ายมรณะแห่งนี้มีครอบครัวคนแคระนี้แค่ครอบครัวเดียวเท่านั้น นั่นจึงทำให้ความคิดของนายแพทย์ยมทูตคนนี้จำต้องเปลี่ยนความคิดไปในการวิจัยเกี่ยวกับของเล่นชิ้นใหม่ของเขา เขาให้ที่พักพิเศษแก่ครอบครัวโอวิทซ์และปันส่วนอาหารมื้อใหญ่ให้แก่ทุกคนในครอบครัว นอกจากนี้ครอบครัวโอวิทซ์ยังได้รับสิทธิพิเศษโดยไม่ต้องถูกตัดผมอันเนื่องมาจากเหตุผลเพื่อการทดลอง และได้รับอนุญาตให้สวมเสื้อผ้าของตัวเองเพราะเครื่องแบบของที่มีนั้นไม่พอดีกับร่างกาย อดีตผู้รอดชีวิตจากค่ายมรณะแห่งนี้ได้บอกว่า“ผมคิดว่าผมเห็นภาพหลอนเมื่อเห็นคนแคระทั้งเจ็ดสวมใส่เสื้อผ้าอย่างดีและอบอุ่นเดินอยู่ในค่ายแห่งนี้” แม้ดูเหมือนว่าพวกเขาได้รับการปฏิบัติที่ดีกว่าคนอื่น ๆ แต่ทุก ๆ คนในค่ายก็ทราบดีว่าเมื่อการทดลองจบลง ชีวิตของพวกเขาก็จะจบลงด้วยเช่นกัน
ละครตลกที่ไม่ตลก
เมื่อต้องถูกทดลอง ครอบครัวโอวิทซ์ก็เหมือนกับคนอื่น ๆ ในค่ายที่ต้องเผชิญกับรูปแบบการทดลองต่าง ๆ เช่น การสกัดไขกระดูก การถอนฟันและเส้นผมเพื่อค้นหาสัญญาณของโรคทางพันธุกรรม มีการเทน้ำร้อนและเย็นลงในหู และทำให้พวกเขาตาบอดชั่วคราวด้วยการหยดสารเคมี รวมทั้งการให้นรีแพทย์ตรวจร่างกายทุกส่วนของสมาชิกครอบครัวที่เป็นผู้หญิง นอกจากนี้ครอบครัวโอวิทซ์ยังถูกสั่งให้จัดแสดงความบันเทิงต่าง ๆ แก่ทหารเอสเอสที่ควบคุมค่าย ทั้งการร้องเพลงและเล่นบทละครจำอวดต่าง ๆ แม้หลังสงครามยุติ ตระกูลโอวิทซ์พยายามจะบอกแก่ชาวยิวทุกคนที่รอดชีวิตจากการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์นี้ว่า พวกเขาจำต้องฝืนแสดงเพราะความจำใจและรู้อยู่แก่ใจตนเองว่าการแสดงให้ความบันเทิงแก่พวกนาซีในตอนนั้นมันเป็นบาปก็ตาม แต่ก็มีชาวยิวหลายคนประณามและเย้ยหยันถึงสิ่งที่ครอบครัวนี้ได้ทำ ซึ่งหากมองในแง่ของการมีชีวิตอยู่ในขุมนรกบนดินแห่งนี้ นี่คือสิ่งที่ฉลาดที่สุดที่พวกเขาพึงมีนั่นก็คือการเอาตัวรอด
และแล้ววันที่ 27 มกราคม ค.ศ. 1945 ทหารโซเวียตเคลื่อนพลปลดปล่อยค่ายมรณะแห่งนี้ มีความสับสนวุ่นวายเกิดขึ้นในตอนที่ทหารเอสเอสที่คุมค่ายอยู่ถอนกำลังออกไป แม้ในช่วงเวลาสุดท้ายของพวกนาซีในการควบคุมค่ายแห่งนี้ ก็ยังมีความพยายามที่จะประหารชีวิตชาวยิวที่เหลือและจัดการเก็บกวาดหรือทำลายอุปกรณ์ต่าง ๆ อย่างรวดเร็ว ในบรรดาชาวยิวและคนอื่น ๆ ที่ถูกคุมขังอยู่ในค่าย ครอบครัวโอวิทซ์คือหนึ่งในจำนวนของผู้รอดชีวิตจากค่ายมรณะแห่งนี้ แต่ก็ต้องแลกมาด้วยชีวิตของอารี่ หนึ่งในสมาชิกครอบครัวที่มีร่างกายปกติ ได้พยายามหลบหนีออกจากค่าย เขาถูกตามจับกุมและโดนประหารชีวิตใน ค.ศ. 1944
หลังจากได้รับอิสรภาพแล้ว ครอบครัวโอวิทซ์ต้องเดินเท้าเป็นเวลากว่า 7 เดือน รอนแรมจากค่ายมรณะเพื่อกลับไปยังหมู่บ้านของพวกเขา ซึ่งที่นี่ก็ไม่เหลือสิ่งใดอีกแล้วเพราะทุกสิ่งในบ้านถูกปล้นและสภาพบ้านก็ทรุดโทรมและเสียหายจากสงคราม นั่นจึงทำให้พวกเขาตัดสินใจย้ายบ้านไปอยู่ที่ประเทศเบลเยียม กระทั่งในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1949 พวกเขาก็ตัดสินใจอพยพไปยังอิสราเอลและตั้งรกรากในเมืองไฮฟา
ชีวิตหลังสงครามและรอดตายมาจากค่ายมรณะ แม้จะมีความเลวร้ายต่าง ๆ ที่กลายเป็นฝันร้ายซึ่งคอยหลอกหลอนพวกเขาอยู่ แต่ครอบครัวโอวิทซ์ก็ต้องใช้ชีวิตต่อไป คนแคระครอบครัวโอวิทซ์กลับไปเปิดการแสดงโชว์อีกครั้ง คราวนี้พวกเขาประสบความสำเร็จอย่างงดงามและมีชื่อเสียงโด่งดัง กระทั่งใน ค.ศ. 1955 พวกเขาลงทุนเปิดโรงภาพยนตร์ของตนเอง และใช้ชีวิตอยู่อย่างเป็นสุขเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน
อ้างอิง :
Ovitz family, from https://en.wikipedia.org/wiki/Ovitz_family
When The Seven Dwarfs Of Auschwitz Met The Nazis’ Most Monstrous Doctor, from https://allthatsinteresting.com/ovitz-dwarfs-auschwitz
The dwarves of Auschwitz, from https://www.theguardian.com/world/2013/mar/23/the-dwarves-of-auschwitz
he Ovitz family – A whole family of dwarfs who survived imprisonment at the Auschwitz concentration camp, from https://www.thevintagenews.com/2016/09/11/ovitz-family-whole-family-dwarfs-survived-imprisonment-auschwitz-concentration-camp/
เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 19 สิงหาคม 2562
ตอน ด เข้าใจว่านาซีไม่ดี
โตจนแก่ เลยรู้ว่า ตั้งแต่อียิปขับไล่ยิว
พระเยซูตาย เพราะคนยิวไปบอก หวังรางวัลนำจับ
อาหรับปั่นป่วน ต้มยำกุ้ง วิกิตการเงินแฮมเบเกอร์
ค่าเงินบาท ตลาดทอง ตลาดการเงิน เหมืองเพชร
บ่อน้ำม้น แมร่งอยู่ในมือคนยิว ทั้งนั้น
23 ธ.ค. 2562 เวลา 09.18 น.
Bond AIT คนไทยบางคนก็นิยมชมชอบ
สัญลักษณ์นาซี เอาไปเป็น Avarta
จังไรแท้
19 ส.ค. 2562 เวลา 22.52 น.
ดูทั้งหมด