ถ้าแบ่งประเภทของงานในยุคนี้แล้ว จะแยกได้จริงๆ อยู่ 2 ประเภท
…ประเภทแรก คือ ‘งานประจำ’ หรืองานที่มีรายได้สม่ำเสมอทุกเดือนจากบริษัทต่างๆ เรียกสั้นๆ ว่า ‘งานของมนุษย์เงินเดือน’ ก็คงไม่ผิด
…ประเภทที่สอง คือ ‘งานไม่ประจำ’ หรืองานฟรีแลนซ์ รับจ้างเป็นครั้งคราว หรือบางครั้งก็อาจจะเรียกว่าธุรกิจส่วนตัวไปเลยก็มี
เชื่อว่าคนส่วนใหญ่คงเข้าใจความหมายของสองคำนี้กันเป็นอย่างดีอยู่แล้ว และเช่นเดียวกัน เราก็เชื่อว่าทุกวันนี้หลายๆ คน คงจะเริ่มให้คะแนนกับสิ่งที่เรียกว่า ‘งานประจำ’ ลดลง และอยากเทใจไปกับงานไม่ประจำกันมากขึ้น
…ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น?
คนทำงานประจำส่วนใหญ่จะมีค่านิยมที่ถ่ายทอดกันมาจากสื่อ จากคนรอบข้าง จากบรรยากาศและทัศนคติส่วนตัวที่ต้องพบเจอความซ้ำซากจำเจบางอย่าง บ้างก็เซ็งกับปัญหาในที่ทำงาน เบื่อเจ้านาย เหนื่อยหน่ายกับเพื่อนร่วมงาน หรือแม้แต่อาร์ติสต์กับตัวตนเวลาต้องสิงสถิตในที่ทำงาน จนชอบตั้งคำถามกับตัวเองบ่อยๆ ว่า ‘ฉันมาทำอะไรที่นี่’
คำตอบที่ผุดขึ้นมาในหัวเป็นระยะๆ จึงกลายเป็นว่า ‘ออกมาทำงานไม่ประจำ และไปเป็นนายตัวเองคงจะดีกว่า’
สิ่งที่น่าสนใจอย่างหนึ่ง คือ คนส่วนใหญ่เข้าใจคำว่า ‘งานไม่ประจำ ทำให้เป็นนายตัวเอง’
อุปมาอุปไมย แล้วถ้าถามว่าเวลาทำงานประจำ แล้วเจ้านายสั่งให้เราไปตาย เราไปตามนั้นหรือเปล่า ถ้าไม่ ชีวิตของพวกเรายังไม่นับว่าเป็นนายตัวเองอีกอย่างนั้นหรือ?
อันที่จริงแล้ว การเป็นเจ้าของกิจการ ฟรีแลนซ์ หรือจะอะไรก็ตามที่ไม่ใช่งานประจำ เราก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นนายของตัวเองอยู่ดี เพราะคุณก็ต้องไปง้อลูกค้า ทำงานตามออเดอร์ลูกค้า เราไม่สามารถทำอะไรตามใจ แล้วไปนำเสนอให้กับลูกค้าของเราทำตามเราได้กระมัง แล้วแบบนี้เรายังนับว่างานไม่ประจำ คือ นายตัวเองอยู่อีกหรือเปล่า?
สิ่งที่อยากจะบอกกับคนหาเช้ากินค่ำอย่างหนึ่ง คือ ชีวิตเราถูกกำหนดให้ใช้แบบพึ่งพาคนอื่นอยู่แล้ว แต่การที่คิดว่าการมีอิสรภาพ คือการหลุดออกจากกรงที่เรียกว่ามนุษย์เงินเดือน แล้วจะทำให้เจออิสรภาพหรือเป็นนายตัวเองอย่างที่ฝันไว้นั้น มันคงไม่ถูกต้องทั้งหมด
เพราะคุณอาจจะต้องเจอกรงที่ใหญ่กว่า นั่นก็คือกรงของโลกธุรกิจแทน เทียบๆ แล้วก็อารมณ์ออกมาจาก ‘กรงนก’ ไปอยู่ ‘กรงสิงโต’ นั่นแหละ
ฉะนั้นชุดความคิดที่ว่า งานประจำทำให้เราไม่ร่ำรวย ไม่มั่งคั่ง ลืมตาอ้าปากไม่ได้ และไม่มีวันเป็นนายตัวเอง อาจจะถูกแค่ส่วนหนึ่ง แต่ก็ไม่ทั้งหมด
แต่เราเชื่อว่า คนที่จะแฮปปี้และประสบความสำเร็จในชีวิตด้วย ‘งาน’ ที่รู้จักบาลานซ์ทั้ง ‘งานประจำ’ และ ‘ไม่ประจำ’ ได้ต่างหาก คือผู้ที่จะมีความสุขกับชีวิตจากการทำงานได้อย่างแท้จริง
แล้วเราจะบาลานซ์งานประจำกับไม่ประจำยังไงล่ะ…
1. ลองใช้เวลาว่างอย่างมีคุณค่า เราจะพบว่าคนทำงานประจำหลายๆ คน ประสบความสำเร็จทางด้านการเงินและการใช้ชีวิตได้พร้อมๆ กัน คือ การที่เขาสามารถใช้เวลาว่างได้อย่างมีประโยชน์ รู้จักนำเวลาว่างบางส่วนไปลงทุนกับความรู้และความเชี่ยวชาญบางอย่าง ซึ่งจะทำให้เขาเกิดการสร้างอาชีพและรายได้ใหม่ ควบคู่ไปกับงานประจำ
2. เปลี่ยนงานประจำที่น่าเบื่อหน่ายให้เป็นความเชี่ยวชาญเฉพาะ ในสนามฟุตบอล กองหน้าคือผู้ทำประตู และผู้รักษาประตูคือผู้ป้องกันการเสียแต้มแก่ฝ่ายตรงข้าม หากคุณรับบทบาทไหนอยู่ จงลับคมให้บทบาทของคุณแหลมยิ่งขึ้น เพราะจะทำให้คนมองเห็นคุณค่าว่าตัวคุณเจ๋งเรื่องไหน และผลตอบแทนที่เหมาะสมกับการลงทุนลงแรงของคุณจะไม่เสียเปล่า แม้คุณจะต้องเปลี่ยนทีมไปในอนาคตก็ตาม
3. การทำงานไม่ประจำ ต้องทำแบบค่อยเป็นค่อยไป การทำงานไม่ประจำที่ดี ควรเริ่มจากการทำในสิ่งที่รักหรือชอบ และพัฒนาประสิทธิภาพของงานนั้นๆ อย่างเป็นขั้นเป็นตอน เรียนรู้และเพิ่มพลังให้กับงานนั้นๆ ในยามที่มีเวลาพอ แต่อย่าทำไปเพียงแค่เบื่องานประจำ เพราะมันเป็นการฆ่าเวลาไปวันๆ และจะไม่ได้มีประโยชน์อะไรเลยในระยะยาว ทั้งนี้หากคุณทำมันได้ดีพอ วันหนึ่งงานนั้นๆ อาจจะเปลี่ยนมาเป็นงานประจำในแบบฉบับที่คุณรักได้โดยไม่รู้ตัว
4. งานไม่ประจำไม่ใช่งานอิสระ อย่าพยายามนิยามว่างานที่ไม่ต้องอยู่ในระบบออฟฟิศ คืออิสระที่เราถวิลหา หรือนึกจะทำยังไงก็ได้ เพราะมันยิ่งกว่างานประจำ เนื่องจากงานไม่ประจำเต็มไปด้วยความรับผิดชอบที่ต้องให้ความสำคัญมากกว่า โดยเฉพาะกับคนที่จ่ายเราที่ผลงาน คุณต้องเค้นทั้งคุณภาพ ให้ความตรงเวลา และต้องสร้างเครดิตความน่าเชื่อถือในตัวคุณเองสุดๆ ต่อชิ้นงานนั้นๆ มันช่างเหนื่อยแสนเหนื่อย (ยิ้มได้แค่ตอนเงินออก ที่อาจจะตกเบิกลากยาวไปหลายเดือน) ต่างกับงานประจำที่รับออเดอร์ตามสั่ง
5. สายป่าน คือ ชีวิต หากเราคิดว่างานประจำต้องใช้เส้นสาย (เฉพาะตอนสมัครเข้าไป) ก็ต้องบอกว่างานไม่ประจำต้องใช้โคตรแห่งเส้นสายเลย เพราะถ้าคุณไม่สามารถหางานจากรู้จักคนหรือคอนเน็กชั่นที่เข้มข้นไว้กับตัวแล้ว โอกาสจะมีรายได้หล่อเลี้ยงคุณไปยาวๆ บอกเลยว่า…ย้ากส์ๆๆๆๆ
จริงๆ แล้ว มุมคิดที่จะหาความมั่นคงให้กับชีวิต หรือสร้างความสบายใจให้กับตัวเอง ไม่ได้ขึ้นกับลักษณะงานทั้งหมด แต่มันขึ้นอยู่กับคุณภาพของงานที่คุณใส่ลงไป เพราะผลของงานจะเชื่อมต่อและบอกว่าคุณคือใคร ตามคำกล่าวที่ว่า ‘ค่าของคน อยู่ที่ผลของงาน’
ยิ่งไปกว่านั้น หากคุณทำงานใดไปนานๆ คุณจะยิ่งรู้จักตัวคุณเองมากขึ้นเรื่อยๆ ว่าควรเดินต่อ หรือหยุดทันที แล้วหลังจากนั้นจะมีอะไรเกิดขึ้นตามมา ก็จงรับมันไว้ให้ดีๆ ละกัน…
วิชล อย่างเดียวที่พึงมีของทุกคน ขยั้นหมั่นเพียร หนักเอาเบาสู้คนเป็นเจ้านายมองแล้วผลดีจะตอบแทน
24 เม.ย. 2562 เวลา 14.43 น.
ดูทั้งหมด