ในยุคที่ยานยนต์สมัยใหม่ โดยเฉพาะรถยนต์พลังงานไฟฟ้ากำลังก้าวเข้ามามีบทบาทในโลก ส่งผลให้ไทยซึ่งเป็นฐานการผลิตอันดับที่ 11 ของโลกต้องมีการเตรียมแผนรับมือเพื่อให้ก้าวทันกับการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้น
ทิศทางการปรับตัวของไทยที่เห็นในตอนนี้คือการสนับสนุนจากภาครัฐที่เปิดโอกาสให้บริษัทรถยนต์เข้าร่วมในโครงการยานยนต์ไฟฟ้า ซึ่งมีผู้ผลิตยื่นขอรับการส่งเสริมการลงทุนจากบีโอไอ 12 รายโดยพี่ใหญ่ ที่เริ่มเดินหน้าและเพิ่งประกาศความพร้อมรายล่าสุดคือโตโยต้า ที่เปิดสายการผลิตแบตเตอรี่รถยนต์ไฮบริด ณ โรงงานประกอบรถยนต์โตโยต้า เกตเวย์ จังหวัดฉะเชิงเทรา และจะผลิตแบตเตอรี่ไฮบริดสำหรับใช้ในรถยนต์รุ่น C-HR, Camry Hybrid และรถยนต์ไฮบริดรุ่นอื่นๆ ของโตโยต้าในอนาคต
นอกจากนั้นแล้วโตโยต้ายังเตรียมแผนงานในอนาคตเกี่ยวกับการบริหารจัดการแบตเตอรี่ไฮบริดที่ใช้แล้วให้นำกลับมาใช้ประโยชน์ได้ใหม่ ภายใต้ชื่อโครงการ “การจัดการแบตเตอรี่ไฮบริดทั้งวงจรชีวิตของผลิตภัณฑ์ (3R Scheme)” ในรูปแบบของการ Rebuilt Reuse และ Recycle
ถือเป็นการขยับตัวจากฝั่งผู้ผลิตรายใหญ่อย่างโตโยต้า ขณะที่อีกหนึ่งโครงการจากภาครัฐที่พยายามผลักและดันเพื่อช่วยให้เกิดคือ อีโคอีวีนั้น นายดุสิต อนันตรักษ์ รักษาการผู้เชี่ยวชาญด้านการชี้นำและเตือนภัยภาคอุตสาหกรรม กล่าวว่าความคืบหน้าของอีโคอีวี ต้องรอความชัดเจนของรัฐบาล ว่าจะมีการปรับเปลี่ยนเงื่อนไขหรือไม่อย่างไร โดยทุกอย่างต้องรอรัฐบาลใหม่ก่อน หลังจากนั้นหน่วยงานที่รับผิดชอบจะมีการนำเสนอข้อมูลเข้าไปให้พิจารณาอีกรอบ
“ตลาดส่งออกของเราเท่าเดิมมา 4-5ปีแล้ว ซึ่งเป็นผลมาจากการโดนคู่แข่งแย่งส่วนแบ่งทางการตลาดไป ดังนั้นเราจึงมาทบทวนว่าผลิตภัณฑ์ของเราเองล้าสมัยหรือเปล่า หรือว่าเป็นเพราะเหตุใดถึงโดนแย่งตลาดไป ด้วยเหตุผลนี้จึงเป็นที่มาของการสนับสนุนอีโคอีวี ส่วนอีกสาเหตุที่ต้องเป็นอีโคอีวีนั้น เนื่องจาก ตลาดอีโคคาร์มีสัดส่วนมากกว่า 52% ของตลาดรถยนต์นั่งทั้งหมด ถือเป็นตลาดที่มีศักยภาพและมีโอกาสในการเติบโตสูง”
ด้านความพร้อมของฝั่งสถานีชาร์จไฟ ดร.ยศพงษ์ ลออนวล นายกสมาคมยานยนต์ไฟฟ้าไทย กล่าวเสริมว่า ในตอนนี้มีทั้งเอกชน และหน่วยงานรัฐเริ่มขยาย ปัจจุบันมีประมาณ 200 แห่ง แต่หากนับเป็นหัวจ่ายมีมากกว่า 400 -500 หัวจ่ายที่กระจายอยู่ตามเมืองใหญ่
ขณะที่ภาพรวมรถยนต์ไฟฟ้าในปี 2562 -2563 จะเริ่มเติบโตต่อเนื่ิิอง เพราะมีจำนวนรุ่นรถเพิ่มขึ้น จากเดิมในปี 2561 มีประมาณ 5 รุ่น แต่ตอนนี้มีกว่า 9 รุ่น ส่วนราคาเริ่มต้นรถยนต์ไฟฟ้าตอนนี้เริ่มลดลง ยกตัวอย่างฟอมม์ 6 แสนบาท
หรือ ไมน์ ราคาล้านต้นๆ
“ในช่วงแรกควรกำหนดอัตราค่าไฟฟ้าสำหรับการประกอบกิจการสถานีอัดประจุไฟฟ้าอัตราพิเศษ เพื่อส่งเสริมให้เกิดการใช้งานที่แพร่หลายขึ้นซึ่งจะทำให้เกิดการแข่งขันในอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าและสร้างความมั่นใจให้ผู้ใช้รถได้โดยเร็ว”
ส่วนฟากฝั่งผู้ผลิตชิ้นส่วน ที่หลายคนกังวลใจ เพราะจากเดิมในการผลิตรถยนต์ต้องใช้ชิ้นส่วนมากกว่า 3 หมื่นชิ้น แต่เมื่อเปลี่ยนเป็นรถยนต์ไฟฟ้าจะลดลงและเหลือเพียง 3,000 ชิ้น ตรงจุดนี้เอง นายพินัย ศิรินคร ประธานกลุ่มชิ้นส่วนยานยนต์และอะไหล่ยานยนต์ สภาอุตสาหกรรม เปิดเผยว่าทิศทางของอุตสาหกรรมยานยนต์หลังจากนี้จะมุ่งไปสู่ยานยนต์ไฟฟ้ามากขึ้น ทั้งในรูปแบบของ HEV, PHEV, BEV, FCEV ซึ่งจะมีผลต่อชิ้นส่วนที่ใช้น้อยลง อาทิ เดิมที่ใช้โครงสร้างเหล็ก ก็เปลี่ยนเป็นอะลูมิเนียม เพราะทำให้รถนํ้าหนักเบา
ในแง่การปรับตัวของผู้ประกอบการ จะแบ่งออกเป็น 2 ระยะ ได้แก่ ระยะสั้น โดยในช่วงปีนี้ไปจนถึงปีหน้ายังไม่มีบริษัทรถยนต์ส่งชิ้นส่วนรถไฟฟ้ามาให้ผลิต ,ประการต่อมา เครื่องยนต์ 1 รุ่นใช้รองรับรถ 10-15 ปีหรือ 2 รุ่นตัวถัง ,ต่อมาคือการลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ดังนั้นเมื่อประเมินในเบื้องต้นแล้วมองว่าผู้ประกอบการยังมีเวลาที่จะปรับตัว และในช่วงภายใน 10 ปีที่จะถึงนี้ทุกบริษัทจะต้องเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับการเปลี่ยนแปลง
ขณะที่การรับมือในระยะยาวของผู้ผลิตชิ้นส่วนไทย ประกอบไปด้วย การขยายไปสู่ตลาดทดแทน (REM) ทั้งในและต่างประเทศ รองรับตลาดทั่วโลก และปรับเปลี่ยนกระบวนการผลิตเป็น ออโตเมชันและไอโอที พร้อมกันนี้ต้องศึกษาการผลิตชิ้นส่วนรถอีวี มีการจับมือกับลูกค้าในการพัฒนาและสร้างนวัตกรรม ประการสุดท้ายคือก้าวไปสู่อุตสาหกรรมอื่นๆอาทิ อากาศยาน
ด้านดร.ฮานกู ลี จากสถาบันเศรษฐศาสตร์อุตสาหกรรมและการค้า ประเทศเกาหลี (KIET) เปิดเผยถึงความสำเร็จของอุตสาหกรรมยานยนต์ของเกาหลีใต้ว่าเป็นผลมาจากการสนับสนุนของภาครัฐที่มีนโยบายและกฎหมายที่เอื้อต่อการพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์ ซึ่งมิใช่แค่เพียงส่งเสริมผู้ผลิตรถยนต์และชิ้นส่วน แต่ยังให้ความสำคัญกับแรงงานและการศึกษา เพื่อพัฒนาบุคลากรออกมารองรับกับอุตสาหกรรมยานยนต์ที่กำลังเติบโต
นอกจากนั้นแล้วยังมีการจัดตั้งศูนย์ SUPPORT CENTER ที่มีทั้งเครื่องมืออุปกรณ์ต่างๆเพื่อรองรับการพัฒนาของแต่ละองค์กร โดยจะตั้งอยู่ตามเมืองต่างๆและได้รับการสนับสนุนจากผู้ผลิตรถยนต์และผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์
“นโยบายรัฐเป็นปัจจัยสำคัญในการสนับสนุนอุตสาหกรรมยานยนต์ให้ก้าว หน้า ส่วนในไทยหากมีศูนย์ก็อาจจะช่วยพัฒนายานยนต์ให้ดีขึ้นอย่างแน่นอน”
หน้า 28-29 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 39 ฉบับที่ 3,470 วันที่ 16 - 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2562
dad ถามหน่อย อีโก้คาร์ อีวี ใช้ไฟเบอร์กลาส แพงมากหนัก หรือ???
19 พ.ค. 2562 เวลา 12.41 น.
Chulabhath กฎเกณฑ์สำหรับคนไทยมากมาย คนคิดจะผลิตดก็ถอดใจ ส่วนต่างชาติเอื้ออวยอำนวยให้ แล้วบอกให้ผลิตคนเพื่อป้อนอุตสาหกรรม ส่วนเจ้าของโรงงานจะเป็น ญี่ปุ่น จีน ไต้หวัน เกาหลี ,เยอรมัน,อเมริกา,อินเดีย คนไทยอยู่ตรงไหน
19 พ.ค. 2562 เวลา 12.26 น.
ดูทั้งหมด