เมอร์เซอร์ เผยผลการสำรวจค่าครองชีพประจำปีครั้งที่ 25 พบว่า การจัดอันดับ 10 เมืองที่มีอัตราค่าครองชีพสูงที่สุดในโลก 8 เมืองจาก 10 เมืองอยู่ในเอเชีย ซึ่งเป็นผลจากราคาสินค้าอุปโภคบริโภคที่เพิ่มขึ้น และราคาที่อยู่อาศัยที่มีการผันผวนอย่างต่อเนื่อง
นายมาริโอ้ เฟอราโร่ ผู้อำนวยการด้าน Global Mobility Practice ประจำภูมิภาคเอเชีย ตะวันออกกลาง และแอฟริกาของเมอร์เซอร์ เปิดเผยว่า เอเชียยังคงเป็นกำลังสำคัญที่ขับเคลื่อนการเติบโตของเศรษฐกิจโลก เพราะแม้เมืองในเอเชียจะมีอัตราค่าครองชีพที่ค่อนข้างสูง แต่หลายองค์กรก็ยังคงเล็งเห็นความจำเป็นทางธุรกิจในการโยกย้ายพนักงานไปประจำในภูมิภาคนี้
ดังนั้น องค์กรต่าง ๆ จึงต้องให้ความสำคัญกับการควบคุมค่าใช้จ่าย รวมทั้งการระบุเหตุผลทางธุรกิจที่ชัดเจนในการมอบหมายงาน และการวัดผลค่าตอบแทนจากการลงทุน
ทั้งนี้ กรุงเทพถือเป็นเมืองที่มีค่าครองชีพสูงติดอันดับที่ 40 ของโลก ซึ่งเป็นการเพิ่มอันดับที่สูงขึ้นถึง 12 อันดับ จากปีที่ผ่านมาอยู่อันดับที่ 52 สะท้อนให้เห็นถึงการย้ายถิ่นฐานของผู้อยู่อาศัยจากเมืองอื่น ๆ เข้ามาอยู่ในกรุงเทพมากขึ้น และเป็นผลจากการเติบโตด้านเศรษฐกิจที่ลดลง ขณะที่การผันผวนของค่าเงินและภาวะเงินเฟ้อส่งผลกระทบเพียงเล็กน้อย
สำหรับเมืองที่มีค่าครองชีพสูงที่สุด ยังคงเป็นของฮ่องกงเป็นปีที่สองต่อเนื่อง ซึ่งเป็นผลจากราคาที่อยู่อาศัยที่สูงเกินเอื้อม สำหรับเมืองอื่น ๆ ใน 10 อันดับแรก ได้แก่ อันดับ 2 โตเกียว อันดับ 3 สิงคโปร์ อันดับ 4 โซล อันดับ 5 ซูริค อันดับ 6 เซี่ยงไฮ้ อันดับ 7 อาชกาบัต อันดับ 8 ปักกิ่ง อันดับ 9 นิวยอร์ก และอันดับที่ 10 เซินเจิ้น
สำหรับการจัดอันดับอัตราค่าครองชีพของเมอร์เซอร์ในปีนี้เป็นการเก็บข้อมูลจาก 20 เมืองใน 5 ทวีปทั่วโลก โดยวัดจากการเปรียบเทียบราคาของ 200 รายการในแต่ละเมือง ภายใต้หมวดหมู่ที่อยู่อาศัย การเดินทาง อาหาร เครื่องนุ่งห่ม เครื่องใช้ในบ้าน และความบันเทิง
ผลการสำรวจยังพบว่าในเมืองใหญ่ทั่วโลก ราคาของตั๋วภาพยนตร์ กาแฟ ค่าเช่าอสังหาริมทรัพย์ และค่าน้ำมันเชื้อเพลิงในฮ่องกงมีราคาแพงที่สุดในโลก ในขณะที่นมในกรุงปักกิ่งมีราคาสูงที่สุดในโลกถึง 4.45 ดอลลาร์สหรัฐ เมื่อเทียบกับราคาของนมในกรุงนิวยอร์กที่ 1.21 ดอลลาร์สหรัฐ
นายอิเลีย โบนิก ประธานธุรกิจ แคเรียร์ ของเมอร์เซอร์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ท่ามกลางสภาวะเศรษฐกิจที่ทักษะการทำงานเป็นหนึ่งในตัวแปรสำคัญ โดยมีการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี หรือ ดิจิทัล ดิสรัปชั่น และการเชื่อมโยงเครือข่ายบุคลากรทั่วโลกเป็นพลังขับเคลื่อน องค์กรระดับโลกจึงต้องให้ความสำคัญมากขึ้นกับการโยกย้ายพนักงานไปยังต่างประเทศ ซึ่งเป็นกลยุทธ์ทางธุรกิจที่จะสามารถสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันให้แก่องค์กรได้
นอกจากนี้ การย้ายพนักงานไปต่างประเทศยังมีข้อดีสำหรับทั้งตัวพนักงานเองและองค์กรอีกมาก ไม่ว่าจะเป็นความก้าวหน้าทางอาชีพ ประสบการณ์ในระดับโลก การเรียนรู้ทักษะใหม่ ๆ และการโยกย้ายทรัพยากร ซึ่งการมอบข้อเสนอค่าตอบแทนที่สมเหตุสมผลและมีข้อได้เปรียบทางการแข่งขัน จะทำให้องค์กรสามารถสร้างประโยชน์ต่อธุรกิจได้จากการโยกย้ายพนักงาน
Sweed_ream ร.บ.แม่งไม่ช่วยเหี้ยไรเรย ช่วยแต่จะให้ปชช.หาเช้ากินค่ำเปนหนี้มากมาย นโยบายกู้อะไรของมึงปยอ . ส่วนคนรวยก้รวยเอาๆ คนจนแม่งไม่มีจะแดกยุละ กุอะอดมื้อกินมื้อละตอนนี้ กุอยากได้ระบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ตามเดิมแบบสยามแต่ก่อน ร.บ.แม่งแดกไม่ยั้ง ยิ่งพวกพ้องแม่งรวยเอาๆ ปชช.ตาดำๆ จะตายห่ายุละ รุ้ไหมไอ้ร.บ.หัวควย ค.ส.ช.ส้นตีน โกหกทั้งชาติเลือกตั้งก้โกงไอ้หน้าhee
27 มิ.ย. 2562 เวลา 03.21 น.
NOP 🗣️🗣️🗣️วิธีคืนความสุข ไง เดี๋ยว จะมีมาตราการ รีดภาษี เพิ่มอีก คืนความสุขให้ จุกอก กันไปเลย🤫🤫🤫🤫🤔🤔🤔🤔🤔🤔
27 มิ.ย. 2562 เวลา 03.20 น.
Kristree BP ค่ารถไฟฟ้า แพงมหาโหด ดีๆๆ รัฐบาลจะได้รวยๆ
27 มิ.ย. 2562 เวลา 03.06 น.
ok ok ร.พ รัฐบาลยังต้องเปิดรับบริจาคเครื่องมือแพทย์
มันไม่สอดคล้องกับยอดรายรับภาษีปี 62
200,000 แสนล้านบาทเลยคับ
27 มิ.ย. 2562 เวลา 02.56 น.
PAKJIRA จะกินข้าวกับนำปลากันแล้วอะไรๆก็แพง
27 มิ.ย. 2562 เวลา 02.53 น.
ดูทั้งหมด