จากกรณีของดาราหนุ่ม ศรราม เทพพิทักษ์ ที่ได้ไปแจ้งความ หลังจากพบว่าเงินในบัญชีธนาคารแห่งหนึ่งหายไปหลายแสนบาท กว่าจะรู้ก็ตอนที่ไปทำธุรกรรมที่สาขาธนาคารที่ไปเปิดบัญชี
ล่าสุดธนาคารต้นสังกัดที่ถูกกล่าวถึง ได้ตรวจสอบหาสาเหตุของเงินที่หายไปแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัวครั้งนี้ พบว่าเป็นฝีมือของคนใกล้ตัว หนุ่ม-ศรรามเอง
ไประเด็นนี้เป็นสิ่งที่หลายคนตั้งคำถามกันว่า จริงๆ แล้ว เราจะรู้ได้อย่างไรว่า เงินที่มีอยู่ในบัญชีธนาคารต่างๆ คงเหลือเท่าไหร่ เพราะบางคนอาจไม่ได้ไปธนาคารบ่อยๆ หรือบางคนอาจจะฝากเงินอย่างเดียว แล้วไม่เคยถอนออกมาใช้
"กรุงเทพธุรกิจออนไลน์" จึงรวบรวบวิธีการเบื้องต้นที่จะเป็นตัวช่วยให้เรารู้ความเคลื่อนไหวบัญชีธนาคารของเรา
เริ่มจากวิธีการแรก ง่ายๆ แบบดั้งเดิม คือการถือสมุดบัญชีเงินออมทรัพย์ไปที่สาขาธนาคารจะเป็นที่ไหนก็ได้ ขอให้เป็นธนาคารเดียวกับที่เราเปิดบัญชีไว้ เพื่อขอให้พนักงานอัพเดตข้อมูลให้เป็นล่าสุด หรืออาจใช้เครื่องปรับสมุดเงินฝากอัตโนมัติ ที่มักจะติดตั้งตามสถานที่ต่างๆ เช่น สาขาธนาคาร ห้างสรรพสินค้า เป็นต้น เพียงสอดสมุดบัญชีเข้าไปในเครื่อง ระบบจะทำการอัพเดตให้อัตโนมัติ วิธีการนี้ไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ จะได้รู้ด้วยว่าวันที่เท่าไหร่ มีเงินฝากเข้า หรือถอนออก
วิธีต่อมา คือการเดินไปที่ตู้เอทีเอ็มพร้อมบัตรเดบิตของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นธนาคารไหนก็สามารถใช้ได้เหมือนกัน และไม่เสียค่าธรรมเนียมแม้แต่บาทเดียว ก็สามารถเช็คได้ สิ่งสำคัญที่ต้องระวัง คือ การเอามือป้องเมื่อกดรหัสผ่าน หรือ PIN เพื่อป้องกันคนอื่นเห็นแล้วนำไปใช้ได้
โดยวิธีการหลังจากใส่รหัสผ่านเรียบร้อยแล้ว หน้าจอที่ตู้เอทีเอ็มจะขึ้นเมนูมามากมายทั้งซ้ายและขวา ให้เลือกเมนูสอบถามยอดเงิน หลังจากนั้นก็เลือกว่าเป็นบัญชีออมทรัพย์ กระแสรายวัน หรือบัตรเครดิต เป็นต้น ระบบจะแสดงยอดเงินคงเหลือขึ้นมา เราก็จะได้รู้ว่าเงินเหลือเท่าไหร่
หากไม่สะดวกเดินทางออกนอกบ้าน ก็สามารถโทรสายด่วนหรือ Call Center ของธนาคารต่างๆ เพื่อสอบถามยอดเงินคงเหลือได้เช่นกัน แต่อาจมีค่าใช้จ่ายด้วย ได้แก่ ธนาคารกรุงเทพ กด 1333, ธนาคารกสิกรไทย 02-8888888, ธนาคารไทยพาณิชย์ 02-777-7777, ธนาคารกรุงศรีอยุธยา 1572, ธนาคารกรุงไทย 0-2111-1111 และ ธนาคารออมสิน 1115 ฯลฯ
หรือวิธีที่ตอบโจทย์คนต้องการความสะดวกสบาย ก็คือ การสมัครบริการ SMS แจ้งความเคลื่อนไหวของบัญชีเงินฝากของธนาคาร เพื่อให้มีการแจ้งเตือนตลอดเวลาที่มีการทำธุรกรรม ก็เป็นอีกหนึ่งตัวช่วยที่ดี แต่วิธีจะเสียค่าใช้จ่าย ส่วนใหญ่เป็นรายเดือน เช่น 20 บาท ซึ่งจะหักค่าธรรมเนียมจากบัญชีเงินฝาก
แต่ต้องบอกเลยว่าปัจจุบันนี้ เทคโนโลยีก้าวล้ำเข้ามาในชีวิตประจำวันของเราในทุกๆ ส่วน ซึ่งเราเองต้องรู้จักใช้ประโยชน์ให้มากที่สุด หากพูดถึงในแง่ของการเงินการธนาคาร เหล่าธนาคารหลากสีต่างพัฒนาแอพพลิเคชั่นของตัวเองขึ้นมา ที่สามารถทำธุรกรรมต่างๆ ได้เหมือนไปธนาคารสาขาเลย หรือที่เรียกว่าMobile Banking หรือInternet Banking และแน่นอนว่าหนึ่งในนั้นคือ สามารถตรวจสอบยอดเงิน
โดยทุกๆ คน สามารถดาวน์โหลดแอพฯ ของธนาคารที่เราเปิดบัญชีไว้ ทำการลงทะเบียน (บางธนาคารต้องลงทะเบียนด้วยตัวเองที่สาขา) จากนั้นก็สามารถตรวจสอบความเคลื่อนไหวของบัญชี พร้อมยอดเงินคงเหลือได้แบบเรียลไทม์ โดยไม่ต้องไปที่ตู้เอทีเอ็ม หรือสาขาธนาคาร ที่เปิด-ปิดเป็นเวลาและสามารถตั้งให้มีการแจ้งเตือนในโทรศัพท์ เหมือนกับการใช้แอพพลิเคชั่นอื่นๆ โดยชื่อเรียกโมบายแบงกิ้งนี้จะแตกต่างกันไปยกตัวอย่างเช่น
- ธนาคารกสิกรไทย พัฒนาแอพชื่อว่า K PLUS และ K-Cyber ขึ้นมา
- ธนาคารไทยพาณิชย์ ใช้ชื่อแอพพลิเคชั่นว่า SCB Easy
- ธนาคารกรุงศรีอยุธยา คือ KMA หรือ KrungSri Mobile App
- ธนาคารกรุงไทย คือ Krungthai Next
- ธนาคารทหารไทย คือ TMB TOUCH
- ธนาคารกรุงเทพ ใช้ชื่อว่า Bualuang MBanking
- และธนาคารออมสิน คือ MYMO BY GSB
โดยวิธีนี้แต่ละคนจะต้องเปิดบัญชีกับธนาคารนั้นๆ ก่อน โดยจะต้องดาวน์โหลดและติดตั้งแอพพลิเคชั่นโมบายแบงกิ้งในโทรศัพท์มือถือ ซึ่งหากเพิ่งเข้าใช้เป็นครั้งแรกจะต้องลงทะเบียนตามขั้นตอน แต่ไม่ควรที่จะให้คนอื่นรู้ เพราะว่าต้องกรอกข้อมูลส่วนตัว เช่น เลขบัตรประจำตัวประชาชน เลขที่บัญชี รวมถึงการตั้งรหัสประจำตัว (User ID) และรหัสผ่าน (Password) ด้วย แต่ต้องระมัดระวังเทคโนโลยีที่ทันสมัยนี้ด้วย เพราะปัจจุบันสามารถสแกนใบหน้าเพื่อปลดล็อกเข้าสู่แอพพลิเคชั่นได้
ทั้งนี้ทั้งนั้นเราต้องรู้จักป้องกัน ด้วยการทำธุรกรรมต่างๆ อย่างรอบคอบ ตรวจสอบเลขที่บัญชีในการฝากเข้า ถอนออกให้เรียบร้อย รวมถึงเมื่อทำธุรกรรมผ่านโทรศัพท์มือถือ ควรเปลี่ยนรหัสผ่านอย่างสม่ำเสมอ และควรรู้เฉพาะแค่เราเท่านั้น เพื่อป้องกันคนอื่นเอาไปใช้ และที่สำคัญคือ หากใช้อินเทอร์เน็ตแบงกิ้งเรียบร้อยแล้ว ควรจะ Log out ทุกครั้ง
แต่ถ้าพบว่าเงินในบัญชีหายไปแล้ว สิ่งที่ควรทำอันดับแรกคือ การเช็คยอดเงินที่เหลืออยู่ รวมถึงการโทรสายด่วนธนาคารหรือใช้โมบายแบงกิ้งเพื่ออายัดบัตรเอทีเอ็มนั้นๆ ไว้ก่อน หลังจากนั้นติดต่อธนาคารเพื่อแจ้งให้ตรวจสอบ และไปแจ้งความลงบันทึกประจำวันไว้ หากเรื่องนี้ยังไม่คืบหน้าสามารถติดต่อศูนย์รับเรื่องร้องเรียนของธนาคารแห่งประเทศไทยได้ที่เบอร์ 1213
ที่มา : วิกิฮาว, page365.net, มันนี่ฮับ, แบรนด์อินไซด์
Joe แทนที่จะขอโทษธนาคารที่ไปกล่าวหาเค้า ดันเห่าออกมาขอบคุณทุกกำลังใจ ถามจริง...ใครเหรอที่ไปให้กำลังใจมรึงเพราะปากพล่อยไปกล่าวหาคนอื่นน่ะ
ไอ้ B===D เอ้ย
18 ม.ค. 2563 เวลา 05.20 น.
ลัดดา แล้วทำไมคนใกล้ตัวไม่บอกเจ้าของ งง.? เออ อย่างนี้ก็มีด้วย ไปถอนเงินเขาออก แล้วเจ้าของไม่รู้ อายไหมเนี่ย เป็นข่าวไปด้วย
18 ม.ค. 2563 เวลา 05.21 น.
บ้านสวนคุณเอก ขาดสติ เงินก็ไม่มากทำให้ธนาคารต้องตีกลับ แสบตัวเอง
18 ม.ค. 2563 เวลา 05.24 น.
TOD เงินออกไปเป็นชาติกว่าsmsจะแจ้ง
18 ม.ค. 2563 เวลา 05.41 น.
ธวัลรัตน์ คงใกล้ตัวมาก ถึงถือบัตร รู้รหัส ด้วย
18 ม.ค. 2563 เวลา 05.32 น.
ดูทั้งหมด