ดูเหมือนหุ้นหลายตัวที่ออกอาการตุปัดตุเป๋จะเป็นผลพวงมาจากการขึ้นเครื่องหมาย XD จึงทำให้หุ้นส่วนใหญ่ยังมีอาการเมาหมัด เพราะหลังจากขายหุ้นเพื่อรับปันผลเป็นที่เรียบร้อย นักลงทุนกลุ่มดังกล่าวก็เลือกที่จะชะลอลงทุน เพื่อรอดูบรรยากาศการลงทุนจะเอื้อให้ลุยต่อขนาดไหน? และส่งผลให้ดัชนีแกว่งตัวลงเป็นเวลาร่วมเดือน และบรรยากาศแบบนี้จะคงอยู่ต่อไปจนถึงวันเลือกตั้งพะย่ะค่ะ
สาเหตุที่ทำให้ “โมนิก้า” เชื่อเช่นนั้นเป็นผลมาจากเซียนหุ้น “รุ่นใหญ่ รุ่นเล็ก” ต่างร้องกันโอดโอย หลังโดนพวก “กองทุน” กับ “ต่างชาติ” ถล่มขายหุ้นเมื่อยกตัวสูงขึ้น จึงต้องหันมาใช้วิธีหยุดซื้อ เพื่อไม่ให้เจ็บตัวหนักไปกว่าเดิม เดี๊ยนถึงไม่แปลกใจที่วานนี้ดัชนีแกว่งตัวขึ้น ๆ ลง ๆ ก่อนจะปิดไปที่ระดับ 1,557.87 จุด ลบไป 0.49 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 3.54 หมื่นล้านบาท ซึ่งเป็นบรรยากาศลงที่ซบเซาในรอบ 2 สัปดาห์นะจะบอกให้
ประเด็นดังกล่าวทำให้ “โมนิก้า” รู้สึกหวาดหวั่นมากขึ้นเรื่อย ๆ เพราะเป็นการลงโดยไม่มีวอลุ่ม เหมือนเป็นการบอกใบ้ให้รู้ว่า นักลงทุนมีอาการถอดใจกันเยอะมาก จึงไม่มีใครคิดจะซื้อสวนเมื่อเห็นราคาหุ้นย่อตัวลงมาเยอะ ๆ ผนวกกับบรรดาเจ้ามือรู้สึกไม่มั่นใจในทิศทางการลงทุน จึงปล่อยให้ราคาหุ้นเละเป็นโจ๊กอย่างที่เห็น และอย่าหวังจะได้เห็นราคาหุ้นเด้งกลับอย่างถาวรนะจ๊ะ
ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดในเที่ยวนี้คือ NCAP ซึ่งเคยได้ชื่อเป็นหุ้นลีสซิ่ง “จิ๋วแต่แจ๋ว” ในสมัยที่เข้าเทรดช่วงแรก ๆ แต่หลังจากนั้นกลับทำผลงานไม่เอาอ่าวเสียอย่างนั้น จึงเป็นเหตุให้ราคาหุ้นไหลลงมาเรื่อย ๆ แม้ในช่วงที่ผ่านมาจะพยายามเทคตัวขึ้นอย่างแข็งแกร่ง แต่สุดท้ายก็ถูกขายจนไปไม่เป็น เดี๊ยนถึงเข้าใจเหตุผลที่ราคาหุ้นทรุดตัวลงมาปิดที่ 3.78 บาท ลบไป 0.30 บาท หรือลงไป 7.35% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 170 ล้านบาท เพราะการเทรด PE 33 เท่าในเวลานี้..มันโอเว่อร์น่ะซี
ขนาดเจ้าพ่อถ่านหิน BANPU ยังถูกรินขายออกมาเรื่อย ๆ ทั้งที่มีมูลค่าทางบัญชีเกือบ 14 บาทแบบนี้ มันเหมือนแสดงให้ทุกคนรู้ว่า ต่อให้ราคาหุ้นจะลงมาเยอะขนาดไหน..ก็ไม่สน เพราะสิ่งที่สนใจมีเพียงอย่างเดียวก็คือ ภาวะการลงทุนต้องเอื้อให้เล่นแบบจัดเต็ม วันนี้ถึงได้คำตอบว่า การลงมายืนปิดที่ระดับ 9.40 บาท ลบไป 0.05 บาท หรือลงไป 0.55% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 407 ล้านบาท พร้อมกับทำโลว์ในรอบ 2 ปี 1 เดือน มันเกิดจาก สถาบันไม่เล่นนะคะ
อีกรายที่ตกอยู่ในสถานการณ์กู่ไม่กลับอย่างชัดเจน “โมนิก้า” มองไปที่หุ้น CBG เพื่อชี้ให้เห็นการลงมาทำโลว์ในรอบ 3 ปี 1 เดือน ด้วยการลงมาปิดที่ระดับ 74 บาท ลบไป 2.25 บาท หรือลงไป 2.95% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 623 ล้านบาท ท่ามกลาง PE 33 เท่าในภาวะลงทุนที่ง่อนแง่นเช่นนี้ เดี๊ยนมองไม่ออกจริง ๆ ว่า สตอรี่ไหนจะมาช่วยดันให้ราคาหุ้นพุ่งอย่างแข็งแกร่งนะนายจ๋า!
ส่วนรายที่ทำท่าหมดรอบอย่างเป็นทางการ เพราะราคาหุ้นมีแพทเทิร์นลักษณะไซด์เวย์ดาวน์ “โมนิก้า” คงมองไปที่หุ้น SPALI เพื่อชี้ให้เห็นแพทเทิร์นการลงแบบ “ยอดเด้งกลับต่ำลง” ในภาวะตลาดหุ้นขมุกขมัว มันเป็นความเสี่ยงที่นักลงทุนต้องเผื่อใจยอมรับให้ได้ เดี๊ยนจึงอยากถามขาลุยว่า ยอดครั้งก่อนอยู่แถว 25 บาท และยอดล่าสุดอยู่แถว 23 บาท ขณะที่วานนี้หุ้นยืนปิดที่ระดับ 21.60 บาท ลบไป 1.10 บาท หรือลงไป 4.85% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 293 ล้านบาท ตีความว่าอย่างไรจ๊ะ
สำหรับรายที่เสียศูนย์อย่างแรง และทำให้นักเล่นขวัญกระเจิง คงต้องมองไปที่หุ้น BE8 เพื่อชี้ให้เห็นยุคสมัยของหุ้นเทคมันเปลี่ยนเร็วมาก และเดี๊ยนก็ไม่อยากจะเชื่อว่า ราคาหุ้นจะไหลลงพรวดเป็นเวลา 4 วัน จนวานนี้ลงมายืนปิดที่ระดับ 43.50 บาท ลบไป 3.25 บาท หรือลงไป 6.95% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 65 ล้านบาท ทั้งที่ไม่กี่วันก่อนยังยืนแถว 57 บาทมาหยก ๆ แบบนี้..มีโอกาสลงต่อสูงนะคะ
ส่วนรายที่แหวกกระแสอย่างยอดเยี่ยม “โมนิก้า” คงมองไปที่หุ้น OTO เพื่อชี้ให้เห็นการขึ้นรอบใหม่อย่างร้อนแรงเที่ยวนี้..น่าจะมีอะไรดี ๆ ออกมาโชว์อย่างแน่นอน และเผลอ ๆ อาจเป็นเรื่องที่เกี่ยวโยงกับ climate change ซึ่งกำลังอินเทรนด์อยู่ก็เป็นไปได้ เดี๊ยนถึงเชื่อว่า การยืนปิดที่ระดับ 17.90 บาท บวกไป 0.70 บาท หรือขึ้นไป 4% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 108 ล้านบาท และเป็นการบวกต่อเนื่อง 2 วันติดในเที่ยวนี้..ไม่ได้มาเล่น ๆ เชื่อหัวน้องโมซิ!