น้ำตาลเป็นสิ่งที่เราบริโภคทุกวัน การขับสารพิษเพื่อขจัดน้ำตาลออกจากร่างกายจึงเป็นสิ่งสำคัญ โรคอ้วนและโรคเรื้อรังส่วนใหญ่มีสาเหตุมาจากน้ำตาล นอกจากนี้น้ำตาลยังก่อให้เกิดโรคหัวใจ โรคมะเร็ง โรคสมองเสื่อม โรคเบาหวานชนิดที่ 2 โรคซึมเศร้า สิว รวมถึงภาวะมีบุตรยากด้วย ชาวอเมริกันจะบริโภคน้ำตาลโดยเฉลี่ยประมาณ 152 ปอนด์ต่อปีหรือเท่ากับวันละ 22 ช้อนชา ขณะที่เด็กๆบริโภคประมาณวันละ 34 ช้อนชาหรือมากกว่าน้ำอัดลมขนาด 20 ออนซ์ 2 ขวดเสียอีก
การขจัดสารพิษจากน้ำตาลออกจากร่างกายจะทำลายวงจรการเสพติดความอยากคาร์โบไฮเดรตและน้ำตาลที่ทำลายสุขภาพของเรา ซึ่งอาจใช้เวลาราว 10 วัน วิธีนี้จะไม่มีการอดอาหาร เราจะรู้สึกมีแต่ความสุขและความสมบูรณ์ เมื่อสิ้นสุดขั้นตอนการดีท็อกซ์ 10 วันนี้คุณจะได้รับร่างกายและจิตใจที่ดีกลับคืนมา
1. ถ้าคุณตัดสินใจทำดีท็อกซ์ คุณต้องทำแบบทดสอบ
- คุณเคยเป็นโรคเบาหวานหรือเบาหวานชนิดที่ 2 หรือไม่
- คุณมีไขมันหน้าท้องหรือไม่
- คุณมีน้ำหนักเกินหรือไม่
- คุณมีความอยากน้ำตาลหรือคาร์โบไฮเดรตหรือไม่
- คุณมีปัญหาในการลดน้ำหนักจากอาหารไขมันต่ำหรือไม่
- คุณมีระดับไตรกลีเซอไรด์สูง ไขมัน HDL ต่ำ หรือมีระดับน้ำตาลในเลือดสูงหรือไม่
- คุณรับประทานอาหารแม้ว่าคุณจะไม่หิวหรือไม่
- คุณเคยหมดสติหลังจากรับประทานอาหารหรือไม่
- คุณรู้สึกไม่ดีเกี่ยวกับพฤติกรรมการรับประทานอาหารหรือหลีกเลี่ยงกิจกรรมบางอย่างเนื่องจากพฤติกรรมการรับประทานของคุณหรือไม่
- คุณมีอาการลงแดงหากคุณลดหรือหยุดรับประทานแป้งหรือน้ำตาลหรือไม่
- คุณต้องการรับประทานอาหารเพิ่มขึ้นเพียงเพื่อต้องการรู้สึกดีใช่หรือไม่
หากคุณตอบว่า "ใช่" เป็นส่วนใหญ่คุณอาจต้องเริ่มดีท็อกซ์โดยเร็วที่สุด
2. ต้องหักดิบ
บางครั้งคุณจำเป็นต้องหยุดโดยเด็ดขาด มันจะช่วยฟื้นฟูสารสื่อประสาทและฮอร์โมนในร่างกายซึ่งเป็นผลจากการหยุดบริโภคน้ำตาลทุกรูปแบบ ผลิตภัณฑ์จากแป้งและสารให้ความหวานเทียมนั้นจะก่อให้เกิดความอยากเพิ่มขึ้น รวมถึงชะลอกระบวนการเผาผลาญด้วย
3. ไม่ดื่มแคลอรี่
แคลอรี่เหลวมีฤทธิ์ร้ายแรงกว่าอาหารจำพวกแป้งและอาหารที่เป็นของแข็ง แคลอรี่เหลวจะเปลี่ยนการกักเก็บไขมันที่ตับไปเป็นไขมันบริเวณหน้าท้อง
4. มื้อเช้าสำคัญที่สุด
อาหารเช้าเป็นมื้อที่สำคัญมาก โปรตีนคือกุญแจสำคัญในการสร้างสมดุลของระดับน้ำตาลในกระแสเลือดและอินซูลิน รวมถึงตัดความอยากทั้งหมดด้วย
5. รับประทานคาร์โบไฮเดรตอย่างเหมาะสม
มิฉะนั้นน้ำหนักของคุณเพิ่มขึ้นแน่ๆ ผักใบเขียวในตระกูลบร็อกโคลี่ หน่อไม้ฝรั่ง ถั่วเขียว เห็ด หัวหอม ซูกินี่ มะเขือเทศ ยี่หร่า มะเขือยาว อาร์ติโช้คและพริกชี้ฟ้าล้วนเต็มไปด้วยแป้ง
6. ต่อสู้กับน้ำตาลด้วยไขมัน
คุณควรรู้ว่าไม่ใช่ไขมันทุกตัวที่ทำให้คุณอ้วน แต่พวกมันจะทำให้คุณรู้สึกอิ่มท้อง โดยการปรับสมดุลน้ำตาลในกระแสเลือด นอกจากนี้เราควรบริโภคไขมันดีเช่น น้ำมันมะกอกบริสุทธิ์ เนยมะพร้าว อะโวคาโด และกรดน้ำมันโอเมก้า 3
7. ในกรณีฉุกเฉิน
จงเตรียมพร้อมเสมอ คุณคงไม่ต้องการอยู่ในนาทีฉุกเฉินเมื่อระดับน้ำตาลในกระแสเลือดลดลง คุณเริ่มตะบะแตกโหยหาน้ำตาลและอยากกินทุกอย่างที่ขวางหน้า และปรากฏว่าในละแวกนั้นไม่มีร้านอาหารเพื่อสุขภาพเลย เราจึงควรเตรียมชุดอาหารฉุกเฉินให้พร้อมอยู่เสมอ อยากจะเป็นคุกกี้เพื่อสุขภาพติดกระเป๋าไว้ หรือนมถั่วเหลืองชนิดซองก็ได้
8. ลดความเครียด
ความเครียดจะทำให้ระดับฮอร์โมนคอร์ติซอลเพิ่มสูงขึ้นและทำให้รู้สึกหิวซึ่งเป็นสาเหตุของไขมันหน้าท้องและนำไปสู่โรคเบาหวานชนิดที่ 2 การสูดหายใจลึกๆจะช่วยกระตุ้นประสาทส่วนพิเศษเวกัสที่เปลี่ยนจากที่เก็บไขมันเป็นการเผาผลาญไขมันอย่างรวดเร็ว จากนั้นอาการเครียดก็จะทุเลาลง
9. ต่อต้านการอักเสบ
น้ำตาลจะทำให้ระดับน้ำตาลในกระแสเลือดเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว สาเหตุของการอักเสบที่พบบ่อยที่สุดคือการรับประทานอาหารจำพวกน้ำตาล แป้ง และไขมันทรานส์ ซึ่งได้แก่กลูเต็นและนมนั่นเอง
10. การนอนหลับ
คุณควรมีเวลาพักผ่อนนอนหลับอย่างเพียงพอเนื่องจากการนอนจะช่วยขจัดความอยากน้ำตาลและคาร์โบไฮเดรต การอดนอนจะทำให้ฮอร์โมนความหิวเพิ่มขึ้น ดังนั้นการนอนหลับจึงเป็นวิธีต่อสู้กับความอยากรับประทานที่มากเกินไปได้ดีที่สุด
บทความไรของมึง ไม่มีสาระไรเลย น้ำตาลคือพลังงานชั้นดี
10 ธ.ค. 2561 เวลา 17.56 น.
Imung น้ำตาล คือสารเสพติดที่ติดง่ายที่สัดในโลก และ คร่าชีวิตคน มากที่สุดในโลก
22 ส.ค. 2561 เวลา 05.34 น.
ตกงานสิกัดดิบแน่ๆ5555รับลองเลยไม่มีจะแดกผอมแน่ น้ำตาลไม่มีมีแต่น้ำปลา555
21 ส.ค. 2561 เวลา 15.46 น.
ขัอ 10 ทำบ่อยมาก ในวันหยุด.
21 ส.ค. 2561 เวลา 20.21 น.
ดูทั้งหมด