ไอที ธุรกิจ

ไม่มีความรู้เรื่องหุ้น แต่อยากซื้อหุ้น จะทำอย่างไรดี

Stock2morrow
อัพเดต 21 ส.ค. 2562 เวลา 05.08 น. • เผยแพร่ 21 ส.ค. 2562 เวลา 03.34 น. • Stock2morrow
ไม่มีความรู้เรื่องหุ้น แต่อยากซื้อหุ้น จะทำอย่างไรดี

ถ้าคุณพบว่าตัวเองนั้น อยากลงทุน แต่ไม่มีความรู้ หรือไม่ชำนาญ อยากลงทุน แต่ไม่มีความรู้ หรือไม่ ชำนาญ อยากลงทุน แต่มีเงินไม่มากนัก รู้แล้วว่ากองทุนรวมคือทางออก ว่าแต่มันจะมีมั้ย ? กองทุนรวมแบบที่มีโอกาสได้ผลตอบแทนที่ดีเหมือนหรือคล้ายลงทุนในหุ้น แต่มีความเสี่ยงน้อยกว่า มีครับ ก็ “กองทุนหุ้น” ไง มีข้อมูลหนึ่งที่น่าสนใจ เป็นข้อมูล เปรียบเทียบการลงทุนใน “หุ้นรายตัว” กับ “กองทุนหุ้น” (โดยไม่รวม LTF RMF)

 

โฆษณา - อ่านบทความต่อด้านล่าง

หลังวิกฤติแฮมเบอร์เกอร์ ปี 2551 ถึงเดือนมีนาคม 2556 พบว่าทั้งตลาดมีหุ้น 452 ตัว มีหุ้นผลตอบแทนติดลบ 38 ตัว ในขณะที่กองทุนหุ้นมี 103 ตัว แต่ไม่มีกองทุนหุ้นตัวใดมีผลตอบแทนติดลบเลย ในขณะที่ผลตอบแทนเฉลี่ยไกล้เคียงกันคือ หุ้นรายตัวมีผลตอบแทนเฉลี่ย 38.47% และกองทุนหุ้นมีผลตอบแทนเฉลี่ย 37.32%

 

"อ่านมาถึงตรงนี้แล้ว คุณคงเริ่มคิดแล้วว่ากองทุนหุ้นน่าสนใจ งั้นเรามาทำความรู้จักกองทุนหุ้นกัน"

โฆษณา - อ่านบทความต่อด้านล่าง

 

กองทุนหุ้นนั้นมีชื่ออย่างเป็นทางการคือ “กองทุนตราสารทุน” (Equity Fund) มันคือกองทุนรวมที่มีนโยบายการลงทุนตราสารทุนประเภทต่างๆ ได้แก่ หุ้นสามัญ หุ้นบุริมสิทธิ ใบสำคัญแสดงสิทธิในการซื้อหลักทรัพย์ รวมถึงหน่วยลงทุนของกองทุนรวมอื่นๆ โดยสัดส่วนของการลงทุนต้องเป็นไปตามที่เกณฑ์ที่สำนักงาน ก.ล.ต. กำหนด คือ ต้องลงทุนในตลาดทุนไม่น้อยกว่า 65% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุนรวม และเงินส่วนที่เหลืออาจจะนำไปใช้ลงทุนสินค้าอื่นๆ ก็ได้

 

โฆษณา - อ่านบทความต่อด้านล่าง

ในแต่ละกองทุนจะมีการชี้แจงนโยบายการเลือกหุ้นที่จะลงทุน เช่น เลือกลงทุนหุ้นขนาดเล็ก หุ้นที่มีแนวโน้มเติบโตสูง หุ้นที่มีมูลค่าการตลาด ไม่เกิน 20,000 ล้าน หรือเลือกลงทุนในหุ้นขนาดใหญ่ 25 อันดับแรกของตลาด ก็ว่ากันไป

 

กองทุนรวมประเภทนี้ เหมาะสำหรับผู้ลงทุนที่ยอมรับความเสี่ยงได้สูงเนื่องจากเป็นการนำเงินไปลงทุนในตราสารทุน ซึ่งมีความผันผวนของราคาค่อนข้างสูง แต่ก็ให้อัตราผลตอบแทนที่สูงด้วยเช่นกัน

 

กองทุนตราสารทุนจะมีนโยบายลงทุนหลักๆ อยู่ 2 ประเภทคือ

 

1.กองทุนที่เน้นเอาชนะผลตอบแทนตลาด (Active Fund) เช่น ถ้าปีนั้นตลาดสร้างผลตอบแทนได้ 10% กองทุนนั้นต้องมีผลตอบแทนมากกว่า 10%

ข้อดีก็คือ ถ้ามีผู้จัดการกองทุนที่เก่ง มองการณ์ไกลมาบริหารกองทุน และยังมีความยืดหยุ่นที่จะปรับพอร์ตในการลงทุนให้สอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจได้ แต่ข้อเสียก็คือ ถ้าผู้จัดการกองทุนไม่เก่งผลตอบแทนก็จะแย่กว่าตลาดไปเลยก็ได้

 

2.กองทุนประเภทสร้างผลตอบแทนดัชนี (Passive Fund) เช่น ถ้าปีนั้น ตลาดหุ้นสร้างผลตอบแทนได้ 10% กองทุนนั้นต้องพยายามทำผลตอบแทนของกองทุนให้เท่ากับผลตอบแทนของตลาดด้วย

ข้อดีคือ ค่าใช้จ่ายของกองทุนต่ำกว่า Active Fund เพราะไม่ต้องใช้นักวิเคราะห์หรือผู้จัดการกองทุนในการบริหาร แต่ข้อเสียก็คือ ถ้าเศรษฐกิจเกิดการชะลอตัว ก็ยังคงต้องลงทุนในหุ้นทั้ง 100% อยู่ จะลด หรือเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในหุ้นตัวใดตัวหนึ่งไม่ได้ ทำให้ผลตอบแทนก็ตกไปตามตลาด

แต่ถ้าหากว่าคุณเป็นคนประเภท ผลตอบแทนก็อยากได้นะ แต่ใจก็ไม่ค่อยถึง ไม่ค่อยกล้าเสี่ยงเท่าไหร่ แบบนี้จะเลือกกองทุนแบบไหนดี ? ตอบว่าเลือกกองทุนรวมแบบนี้เลยครับ

 

กองทุนรวมผสม (Balanced Fund) คือกองทุนที่ลงทุนทั้ง ในตราสารทุน ตราสารหนี้ หรือตราสารอื่นๆ แต่ต้องมีสัดส่วนในการลงทุนในตราสารทุนในขณะใด้ขณะหนึ่งไม่น้อยกว่า 25% และไม่เกินกว่า 65% การลงทุนในกองทุนแบบนี้ จะมีความเสี่ยงหลากหลาย ขึ้นอยู่กับสัดส่วนการลงทุน ระหว่างตราสารทั้งสองประเภทที่กำหนดไว้ในหนังสือชี้ชวน ซึ่งแบ่งได่เป็น 2 แบบครับ

แบบแรก กำหนดสัดส่วนการลงทุนในตราสารทั้งสองประเภทไว้อย่างชัดเจน ซึ่งจะมีสัดส่วนตราสารทุนสูงสุดได้ไม่เกิน 65%

แบบที่สอง ไม่กำหนดสัดส่วนการลงทุนในตราสารทั้งสองประเภท หรือที่เรียกว่า กองทุนรวมผสมแบบยืดหยุ่น โดยการลงทุนในสัดส่วนของตราสารแต่ละประเภทอย่างไร กองทุนประเภทนี้เหมาะกับผู้ที่ยอมรับความเสี่ยงได้ปานกลาง

 

“เห็นมั้ยละครับว่าถ้าคุณอยากจะลงทุนในหุ้น อยากมีโอกาสที่จะได้ผลตอบแทนที่ดี แต่คุณก็รู้ตัวเองดีพอว่าคุณยังไม่เหมาะกับการลงทุนในหุ้นรายตัว ในตลาดก็มีเครื่องมือการลงทุนที่ตรงกับเราแน่นอน เช่นกองทุนหุ้นแบบที่ผมเล่ามานี่ล่ะครับ”

มงคล ลุสัมฤทธิ์

 

เจ้าของเพจที่รวมและแบ่งปันความรู้วางแผนการเงิน เพจ : Financial Times by Mongkol นักออกแบบความมั่งคั่ง โดยมงคล ลุสัมฤทธิ์ (Wealth Designer)

ดูข่าวต้นฉบับ
ความเห็น 1
  • Little แต่ง
    ไม่จริงครับ ปีที่หุ้นลงมากๆ กองทุนผมก็ขาดทุนครับ
    23 ส.ค. 2562 เวลา 10.46 น.
ดูทั้งหมด