นักวิทยาศาสตร์เคยบอกว่า การมองโลกในแง่ดี หรือคิดเชิงบวกจะมีผลดีต่อสุขภาพ ส่วนนักจิตวิทยาก็บอกในอีกด้านหนึ่งด้วยว่า การมองโลกในแง่ร้ายบ้างก็มีผลดีในบางสถานการณ์เช่นกัน จึงเกิดเป็นคำถามว่า แล้วตรงกลางของการมองโลกอยู่ที่ตรงไหน? คำตอบอาจจะอยู่ที่ ‘การมองโลกตามความเป็นจริง’
มองโลกตามความจริงคือ มองอย่างที่มันเป็นอยู่ ไม่ใส่ความคิดเห็นส่วนตัวลงไป ไม่บิดเบือน แม้ว่าคนเรามักใส่อคติบางอย่างลงไปในมุมมองที่มองโลกอยู่แล้ว มันเป็นเรื่องธรรมชาติ
ดังตัวอย่างที่มักจะใช้ทดสอบวิธีการมองโลกของแต่ละคนว่า หากมองภาพนี้แล้ว ความคิดของคุณเป็นเช่นไร 1) มีน้ำครึ่งแก้ว, 2) เหลือน้ำแค่ครึ่งแก้ว, หรือ 3) มีน้ำตั้งครึ่งแก้ว ซึ่งความจริงมีเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้นคือ มีน้ำครึ่งแก้ว ที่เหลือคือการมองโลกอย่างใส่ความคิดเห็นบางอย่างเจือปนลงไปในความจริงนั้นด้วย พอจะเห็นภาพไหมคะ
พูดถึงข้อดีของการมองโลกในสองขั้วไปแล้ว งั้นเรามาดูข้อดีของการรู้จักมองโลกอย่างที่มันเป็นกันบ้างดีกว่า ว่ามีประโยชน์ต่อการใช้ชีวิตของเราอย่างไรบ้าง
1.ยอมรับความจริงได้ง่ายขึ้น
หากกำลังเผชิญหน้ากับความทุกข์ ความไม่สบายใจ หรืออุปสรรคต่าง ๆ ในชีวิต สิ่งที่ควรทำมากที่สุดคือการยอมรับความจริง ต้องบอกว่าไม่ใช่เรื่องง่ายเลย หลายคนอาจจะไม่อยากรับรู้ด้วยซ้ำว่ากำลังเกิดอะไรขึ้น แต่เชื่อเถอะค่ะ ว่ามองสิ่งที่กำลังเกิดอยู่ตรงหน้า ดึงสติกลับมาโฟกัสอยู่กับสิ่งที่เกิดขึ้น ถามตัวเองว่าสาเหตุเกิดจากอะไร ทางออกมีอะไรบ้าง การได้มองสิ่งต่าง ๆ อย่างที่มันเกิดขึ้น อย่างที่มันเป็น จะช่วยให้เราเข้มแข็งขึ้น ปลง และไม่หลอกตัวเอง เพราะการมัวแต่มองโลกในแง่บวก จริงอยู่ว่ามันทำให้เราสบายใจ แต่มันแค่ชั่วขณะเท่านั้นแหละ ปัญหาเหล่านั้นมันยังคงตามหลอกหลอนในหัวอยู่ สู้ยอมรับความจริงไปซะดีกว่า เจ็บแต่จบ!
ศาสตราจารย์ด้านจิตวิทยาชาวสหรัฐคนหนึ่งพบว่า การบอกความจริงต่อผู้ป่วย จะช่วยให้ผู้ป่วยรับมือกับอาการป่วยได้ดีกว่าการให้ความหวังว่าอาการจะดีขึ้นในเร็ววัน แม้ว่าช่วงแรกผู้ป่วยจะรู้สึกทุกข์ทรมานกับความจริงเหล่านั้น แต่เมื่อยอมรับและผ่านไปได้ จะทำให้สภาพจิตใจฟื้นตัวได้เร็วมากยิ่งขึ้น
2.ลดระยะเวลาแห่งความทรมาน
นอกจากการมองโลกแบบเป็นจริงจะช่วยให้เรายอมรับความจริงได้แล้ว ถึงช่วงเวลานั้นมันจะบาดหัวใจเรามากแค่ไหน แต่ยิ่งยอมรับได้เร็วมากเท่าไหร่ ก็จะช่วยลดระยะเวลาในการเยียวยาตัวเองลงไปด้วย รู้ตัวเร็ว หายเจ็บเร็วอย่างที่เขาว่ากันนั่นแหละ มันก็เหมือนเวลาเราเป็นแผล หากยิ่งรู้ว่าเป็นตรงไหน เจ็บตรงไหน เราก็จะหาวิธีรักษาแผลนั้นได้ไวขึ้น แผลก็จะหายไวขึ้นนั่นเอง
3.มีแต่ความเข้าใจ
พื้นฐานที่สุดของการมองโลกตามความเป็นไปของมันก็คือ การทำความเข้าใจ ทั้งเข้าใจตัวเราเอง เข้าใจธรรมชาติ รู้ว่ามีสิ่งที่สามารถควบคุมได้และสิ่งที่ไม่สามารถควบคุมได้ เข้าใจสัจธรรมของสิ่งรอบตัว ความเข้าใจทั้งหมดนี้จะทำให้วิธีมองโลกของเราเป็นไปตามความเป็นจริงมากขึ้น
4.มูฟออนต่อไม่รอแล้วนะ
การหลอกตัวเอง ไม่ยอมปล่อยวางจะทำให้จมปลักอยู่กับเรื่องเก่า ๆ และชีวิตจะทุกข์อยู่กับเรื่องซ้ำ ๆ เดิม ๆ มันน่าเบื่อมากนะคะ แต่หากเรารู้จักมองโลกตามความเป็นจริง ไม่ติดอยู่กับอดีต เรื่องไหนดีก็ยอมรับว่าดี เรื่องไหนไม่ดี ก็ยอมรับว่าไม่ดี แล้วแก้ไข นำเรื่องเหล่านั้นมาเป็นบทเรียนเพื่อไม่ให้เกิดขึ้นอีก จะทำให้ชีวิตเดินหน้าต่อไปได้เร็วขึ้น แถมยังได้ภูมิคุ้มกันเพิ่มขึ้นอีกด้วยนะ
5.มองอะไรได้ชัดเจนขึ้น
พอมองเห็นปัญหา เห็นโลกอย่างที่มันเกิดขึ้นจริง ไม่บิดเบือน จะทำให้เรามองเห็นอะไร ๆ ได้ชัดเจนขึ้น เหมือนปรับจุดโฟกัสให้สายตานั่นแหละ พอรู้ชัดแจ้งถึงเรื่องราวที่เกิด ก็จะเกิดสติปัญญาและหาทางหนีทีไล่ได้ดีขึ้น ไม่มัวแต่มองเรื่องดี ๆ แต่รู้จักมองเรื่องร้าย ๆ ที่เกิดขึ้นด้วย เพราะทุกด้านย่อมมีประโยชน์ต่อการใช้ชีวิตของเราเองทั้งนั้น
6.เป็นเหตุเป็นผล
พอเรามองสิ่งที่อยู่ตรงหน้าได้อย่างที่มันเป็นได้แล้ว สิ่งดี ๆ ที่จะตามมาก็คือเราจะคิดอะไรเป็นเหตุเป็นผลมากขึ้น ไม่เอนเอียง ปล่อยวางอคติได้ อยู่กับข้อเท็จจริงที่เกิดมากกว่าใช้อารมณ์หลอกตัวเอง อย่าลืมว่าถึงความรู้สึกจะเปลี่ยนแปลงได้ แต่ความจริงเปลี่ยนแปลงไม่ได้นะคะ เพราะฉะนั้นสิ่งที่ต้องยึดมั่นถือมั่นก็คือความจริงนั่นแหละ
7.ไม่คาดหวังก็จะไม่ผิดหวัง
บ่อเกิดของความผิดหวังคือความคาดหวัง แต่หากมองโลกตามความจริงจะทำให้เราไม่แต่งเติม ไม่สร้างภาพ ความคาดหวังจึงไม่มีทางเกิดขึ้น มีเพียงการยอมรับสิ่งที่มันเป็นเท่านั้น และเมื่อเรายืนมองความเป็นไปของโลกอย่างที่มันหมุนไป เราจะเกิดการยอมรับและเข้าใจ คิดแบบนี้มีแต่ได้กับได้และไม่มีวันติดลบทางความรู้สึกอย่างแน่นอน
แม้ว่าการมองโลกทางความเป็นจริงจะไม่ง่ายเลย แต่จะว่าทำไม่ได้เลยก็คงผิด เพราะหากเรามีสติ และรู้เท่าทันความคิดความอ่านของตนเองได้มากเท่าไหร่ ก็จะยิ่งมีผลต่อการมองโลกของเรามากขึ้นเท่านั้น อย่างที่เขาว่า มองโลกในแง่ดีมากไปก็ไม่ได้ มองโลกในแง่ร้ายมากไปก็ไม่ดี อยู่ตรงกลางน่าจะดีที่สุดแล้ว
ดังคำสอนของ พระไพศาล วิสาโล ที่ว่า 'การมองเห็นสิ่งดี ๆ ที่อยู่เคียงคู่กับสิ่งไม่ดี ก็เป็นการมองโลกแง่ดีที่ควรมอง'
.
.
ขอบคุณข้อมูลจาก
https://www.bbc.com/thai/features-49154443
https://www.voathai.com/a/pessimism-ct-5aug14/1972501.html
https://www.voathai.com/a/a-47-2009-11-10-voa5-90649734/922659.html
Tickety-Boo!!!🐈 ไม่ว่าการจะมองโลกตามความเป็นจริงหรือมองแบบโลกสวย. มันก็มีทั้งส่วนดีและส่วนเสียคละเคล้ากันไป.
ไม่ว่าจะมองในแง่มุมไหน. ทุกอย่างมันย่อมมีหลายมิติให้เราเลือกที่จะมอง. เราควรอยู่"ตรงกลาง"ระหว่างแง่มุมนั้น.
เราจะได้รู้จักทั้งความสวยงาม ความโสมม ความขมขื่น ทุกรสชาติของชีวิต.
เพราะ...นี่คือชีวิต!!!
21 พ.ย. 2562 เวลา 17.35 น.
Yongyuth สัจจะคือความจริง หมายความว่า ความจริง เป็นสิ่งไม่ตาย คือเป็นอมตะ สิ่งที่เป็นอมตะ อันได้แก่ความรู้ ที่ถูกต้อง เรียกวิชชา การจะเกิดวิชา นั้น ก็เพราะมี สัมมา ปัญญาอันได้แก่ สัมมาทิฏฐิ ความเห็นชอบ และสัมมาสังกัปปะ ดําริชอบ อันเป็นองค์แห่งมรรค 8 ความเห็นที่ถูกต้อง คือเชื่อกฎแห่งกรรม เข้าใจ เรื่องอริยสัจ 4 ส่วนความดำริ ชอบ หรือความคิดดีได้แก่ ความคิด ออกจากกาม ความคิดไม่เบียดเบียน และความไม่พยาบาท ทั้งหมดนี้ เรียก สัจจะ การพูดจา อยู่ในศีล คือ สัมมาวาจา ก็เป็นสัจจะวาจา ที่กล่าว มา เป็นกุศล ชนิดโลกุตตระ
21 พ.ย. 2562 เวลา 21.50 น.
เราเป็นคนนึงนะ
ที่พออ่านอะไรมากๆ
แล้วจะไม่เชื่อ
จะเบื่อง่าย
วกมาหาความสงบ
รู้มากก็วุ่นวาย
เป็นเพราะล้าหรือเปล่าก็ไม่รู้
เราไปอยากรู้อยากเห็นเรื่องนอกตัวมากไป
ทำให้ใจเราไม่สงบ
ซึ่งก็รู้ทุกอย่างบนโลกนี่
เหมือนมาประชุมร่วมกันขณะนึ่งเท่านั้นเอง
ก็เลยไม่อยากยึดอะไรมาก
22 พ.ย. 2562 เวลา 02.01 น.
Tui of Earth เห็นโลกแห่งความจริง ทางธรรม เรียกว่า การมีดวงตาเห็นธรรม ดวงตาเห็นธรรมขั้นพื้นฐานจะเต็มไปด้วยทุกข์ แต่หากผ่านไปขั้นกลางได้ ก็จะยอมรับอะไรได้มากขึ้น เพราะถือว่าเรียนรู้ขั้นพื้นฐานมาแล้ว
เคล็ดลับในการมองโลกแห่งความจริงคือ ถ้าเราใช้เพียงตามอง เราจะเห็นแค่ปัจจุบัน บางอย่างบอกกันให้รู้ไม่ได้ ต้องสัมผัสเอง "ขอให้ผู้เรียนรู้ที่จะมองความจริงโชคดี" ....
22 พ.ย. 2562 เวลา 04.34 น.
kamen rider ยาวเกิน สรุป สิ่งพวกนี้ก็คือสิ่งที่ปรกติชนเขาคิดได้อยู่แล้ว จริงๆนะ
21 พ.ย. 2562 เวลา 17.37 น.
ดูทั้งหมด