พลเรือเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ทรงเป็นศิษย์ที่เลื่อมใสในวิชาไสยศาสตร์ของหลวงปู่ศุข แห่งวัดปากคลองมะขามเฒ่า และมีความสนิทสนมกันมาก จนถึงขนาดให้สร้างกุฏิขึ้นใน “วังนางเลิ้ง” สำหรับหลวงปู่มาพำนักเวลามากรุงเทพฯ
วังนางเลิ้ง ตั้งอยู่ตรงไหน ปัจจุบันมีสภาพเป็นอย่างไร และกุฏิของหลวงปู่ศุขที่ในวังยังมีอยู่หรือไม่
ราว พ.ศ. 2438 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดฯ ให้จัดเตรียมที่แปลงหนึ่งบริเวณปากคลองเปรมประชากรต่อกับคลองผดุงกรุงเกษมทางฝั่งตะวันออก เพื่อสร้างวังใหม่พระราชทานพระราชโอรสสองพระองค์ คือ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ครั้งดำรงพระยศเป็นพระเจ้าลูกยาเธอ พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ กับพระเจ้าลูกยาเธอ พระองค์เจ้าสุริยงประยุรพันธุ์
ที่แปลงนี้ส่วนหนึ่งเป็นของหลวงตกอยู่ในกระทรวงนครบาลมาแต่เดิม บางส่วนต้องซื้อเพิ่มจากราษฎรที่ตั้งบ้านเรือนอยู่แถวนั้นมาก่อน รวมเงินซึ่งพระคลังข้างที่ต้องจ่ายเป็นค่าที่ดินและค่ารื้อเรือนโรงเป็นเงินทั้งสิ้น 244 ชั่ง 60 บาท 40 อัฐ
แล้วโปรดฯ ให้แบ่งที่เป็นสองส่วน ด้านติดทำเนียบรัฐบาลพระราชทานให้เป็นวังสำหรับพระองค์เจ้าอาภากร ต่อมาชาวบ้านเรียกว่า “วังนางเลิ้ง” ส่วนด้านตะวันออกที่ติดกับชุมชนบ้านญวนและบ้านพิษณุโลกในปัจจุบัน พระราชทานให้พระองค์เจ้าสุริยงประยุรพันธุ์ พระอนุชาของพระองค์เจ้าอาภากร ซึ่งต่อมารู้จักกันในชื่อ “วังไชยา”
วังนางเลิ้ง มีเนื้อที่ประมาณ 22 ไร่เศษ ทิศเหนือจรดถนนพิษณุโลก ทิศใต้จรดถนนลูกหลวง ทิศตะวันออกจรดถนนนครสวรรค์ ทิศตะวันตกจรดถนนพระราม 5 ปัจจุบันพื้นที่ส่วนใหญ่กลายเป็นที่ตั้งของสถาบันเทคโนโลยีราชมงคลวิทยาเขตพณิชยการพระนคร
ตำหนักใหญ่ปลูกค่อนไปด้านเหนือ หันหน้าไปทางหัวมุมถนนพระราม 5 ตัดกับถนนพิษณุโลก บริเวณอนุสาวรีย์กรมหลวงชุมพรฯ ที่เห็นอยู่ในปัจจุบันคือประตูใหญ่ของวังนางเลิ้ง
เล่ากันว่าเมื่อกรมหลวงชุมพรฯ สำเร็จวิชาการทหารเรือจากยุโรป และเสด็จกลับถึงกรุงเทพฯ ใน พ.ศ. 2443 นั้น พระตำหนักในวังนางเลิ้งยังสร้างไม่เสร็จ พระองค์จึงเสด็จประทับอยู่ในเรือรบหลวงมูรธาวสิคสวัสดิ์ ซึ่งได้รับพระราชทานตำแหน่งให้เป็นผู้บังคับการเรือ ประทับอยู่ประมาณ 6-7 เดือนจึงได้ย้ายเข้าวัง
ช่วงเวลาที่เริ่มสร้างวังและเสด็จประทับในวังแห่งนี้ยังไม่ชัดเจนนัก แต่ปรากฏหลักฐานจากคำบอกเล่าของ พลเรือตรีพระยาหาญกลางสมุทร ซึ่งเคยรับราชการใกล้ชิดกับกรมหลวงชุมพรฯ ตั้งแต่เสด็จกลับจากต่างประเทศใหม่ๆ และมีโอกาสเห็นวังนางเลิ้งในครั้งนั้นเล่าไว้ว่า
“…ในวังนางเลิ้ง บางทีท่านตรัสว่าหญ้ารก ไปช่วยกันหน่อย นักเรียนนายเรือก็ยกพวกไปกันทีเดียว ฉันเป็นหัวหน้าใหญ่ มีหน้าที่ไปโค่นต้นไม้ ต้นไผ่ ขุดตอ ตอนนั้นยังไม่เป็นวังเป็นบ้านเดิมมีป่าไผ่ ป่ากระถิน มะขามเทศ แรก ๆ ที่ไปสร้างไม่มีกำแพง เป็นที่โล่งๆ เหมือนชาวบ้านธรรมดานี่แหละ แล้วต่อมาตีสังกะสีล้อมเสียหน่อย กำแพงรูปใบเสมาอย่างที่เห็นอยู่ทุกวันนี้มาทำทีหลังตอนขึ้นวังใหม่”
ซึ่งตอนขึ้นวังใหม่ตามที่เจ้าคุณหาญว่านี้ ปรากฏในราชกิจจานุเบกษาว่า “… ด้วยการก่อสร้างตำหนักที่วังพระเจ้าลูกยาเธอ กรมหมื่นชุมพรเขตอุดมศักดิ์นั้น ช่างได้กระทำการก่อสร้างเสร็จบริบูรณ์แล้ว สมควรจะกระทำการมงคลขึ้นตำหนัก
ในเดือนนี้จึงโปรดให้โหรหาฤกษ์มีกำหนดในวันที่ 20 มีนาคม (พ.ศ. 2449) เป็นกำหนดพระฤกษ์การขึ้นตำหนักใหม่ และโปรดให้จัดการตกแต่งในวังด้วยใบไม้ ธงช้าง และโคมไฟดูสว่างไสวไปทั้งจังหวัดวัง…”
ในการนี้พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินพร้อมด้วยพระบรมวงศานุวงศ์ และข้าราชการทั้งฝ่ายหน้าฝ่ายในไปร่วมในงานนี้จำนวนมาก
ทรงหลั่งน้ำพระมหาสังข์ทักษิณาวรรต และทรงเจิมพระเจ้าลูกยาเธอ และหม่อมเจ้าทิพยสัมพันธุ์ พระชายา และพระราชทานพระพร
พระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าของวังได้ทูลเกล้าฯ ถวายพระรูป และธารพระกรแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พร้อมกับถวายและแจกมีดพับสำหรับเหลาดินสอ ซึ่งมีอักษรจารึกเป็นของชำร่วยสำหรับผู้ไปร่วมงานครั้งนี้
ตำหนักใหญ่ของวังนางเลิ้งเป็นตึก 2 ชั้น ทรงยุโรป หน้าตาคล้ายกับตำหนักใหญ่ที่วังบูรพาภิรมย์ แวดล้อมด้วย สวนหย่อม ศาลาและสระน้ำ บริเวณรอบนอกเป็นสวนผลไม้ และบ้านเรือนของข้าราชบริพาร
ท่านหญิงเริงจิตรแจรง อาภากร พระธิดาในกรมหลวงชุมพรฯ พระองค์หนึ่ง ที่เติบโตมาในวังแห่งนี้ บรรยายภาพของวังนางเลิ้งไว้ในหนังสืออนุสรณ์ท่านหญิงเริง ซึ่งกองทัพเรือเป็นผู้จัดพิมพ์ความว่า
“… เนื้อที่วังนางเลิ้งมีประมาณ 20 ไร่เศษ ทรงขุดคลองเอาดินขึ้นถม มีคลองลดเลี้ยว ทำสะพานเชื่อมเดินถึงกันจากเกาะนี้ไปเกาะโน้น ทุกๆ เกาะมีหม่อมคนหนึ่งเป็นเจ้าของรับมอบดูแลความสะอาด ปลูกไม้ดอกไม้ต้น กลางวันเดินเที่ยวและพายเรือสนุกดี แต่ตกกลางคืนเงียบและมืด เสียงนกร้องน่ากลัว มีศาลาทุกแห่ง ศาลาใกล้ตำหนักใหญ่พอควรทาสีดำ มีคนตายในวังจะตั้งศพบำเพ็ญกุศลที่นั้น…”
สำหรับกุฏิของหลวงปู่ศุขในวังนางเลิ้งนั้น เคยมีอยู่จริง ปลูกเป็นศาลาอยู่ในสวนด้านทิศใต้ ใกล้คลองผดุงกรุงเกษม ท่านหญิงเริงเล่าไว้ในหนังสือเล่มเดียวกับที่ยกมาข้างต้นว่า
“…หลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า จะลงมาพักอยู่ที่วัง ณ ศาลาที่ปลูกไว้ท้ายสวนแทบทุกปี (มักจะลงมาพักช่วงเดือนธันวาคม ซึ่งตรงกับวันประสูติของกรมหลวงชุมพรฯ) ได้มาช่วยกันทำพระไว้แจกที่วังนางเลิ้ง มีแม่พิมพ์แกะด้วยอะไรจำไม่ได้ เอาตะกั่วมาใส่กระทะ แล้วเอาจอกตักใส่พิมพ์
พระที่นิยมเป็นพระปิดตา รูปสี่เหลี่ยมมีจั่วแหลมเป็นวิมาน หลวงปู่เป็นคนคุมทำต่อหน้าท่าน เสด็จพ่อท่านทอดพระเนตร ท่านไม่ได้ทำด้วย ไม่ใช่หน้าที่ของท่าน ข้าพเจ้าช่วยตักใส่แม่พิมพ์ด้วย สนุกดีเหมือนทำขนมคุกกี้ ทำเสร็จใส่ไว้เต็มบาตร นำมาไว้หน้าที่บูชา มีดอกไม้ธูปเทียน ทำพิธีสวดชยันโต มีพระสวด 4 องค์ (รวมหลวงปู่ เป็นห้าองค์) ทำพระไว้แจกเยอะแยะ….”
ทั้งตัวตำหนักใหญ่และกุฏิของหลวงปู่ศุข รวมทั้งอาคารส่วนใหญ่ในวังแห่งนี้ถูกรื้อไปนานแล้ว แม้แต่ภาพถ่ายก็หาดูได้ยากมาก มีภาพถ่ายทางอากาศอยู่ภาพหนึ่งที่มองเห็นวังนางเลิ้ง และทำเนียบรัฐบาลอยู่ไกลๆ พอให้นึกสภาพวังได้บ้าง ส่วนอีกภาพเป็นภาพร่างตัวตำหนักใหญ่ในพิมพ์เขียว ทำไว้คราวที่กรมเลขาธิการคณะรัฐมนตรีคิดจะซ่อมตึกวังนางเลิ้งและเช่าเป็นที่ทำการ แต่มีงบไม่พอจึงระงับไป
ท่านผู้อ่านท่านใดที่มีภาพของวังนางเลิ้งที่ดีกว่านี้กรุณาเผยแพร่แบ่งกันชมบ้าง ถือว่าช่วยกันเชิดชูพระเกียรติคุณของท่าน
หลังจากที่พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ สิ้นพระชนม์ เมื่อ พ.ศ. 2466 ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่ดินของวังนางเลิ้งได้ถูกแบ่งเป็นส่วนๆ ในหมู่พระชายา พระโอรส พระธิดา และผู้ใกล้ชิด
ต่อมาที่ดินผืนใหญ่สุด บริเวณตัวตำหนักซึ่งมีเนื้อที่ 6 ไร่ 3 งาน 34 ตารางวา ถูกขายให้สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์
ประมาณเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2482 สำนักงานทรัพย์สินฯ ได้ให้นายอุบล (ไม่ทราบนามสกุล) เช่าที่ดินผืนนี้เดือนละ 200 บาท เพื่อใช้เป็นที่ทำการของโรงเรียนสุวิชพิทยาลัย
พ.ศ. 2485 ในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 กรมยุวชนทหารย้ายจากวังบางขุนพรหมมาอยู่ที่วังนางเลิ้ง และช่วงนี้เองที่วังนางเลิ้งถูกภัยทางอากาศ ตำหนักใหญ่ถูกเพลิงไหม้เสียหายมากจนใช้การไม่ได้
หลังจากนั้นสำนักงานทรัพย์สินฯ ได้ให้นายสวน เกาะสุวรรณ์ เช่าที่ดินในราคาเดือนละ 80 บาท เพื่อเป็นที่เก็บรถเมล์แดง โดยทำสัญญาเช่าเป็นรายเดือน
ระหว่าง พ.ศ. 2485-2487 ซึ่งจอมพล ป.พิบูลสงคราม ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ได้มีนโยบายที่จะปรับปรุงสภาพภูมิทัศน์บริเวณวังนางเลิ้งทั้งหมดให้อยู่ในสภาพเรียบร้อย เป็นระเบียบสวยงาม เพราะเป็นพื้นที่ที่ต่อเนื่องกับทำเนียบรัฐบาล
โดยสิ่งที่จอมพล ป. พิบูลสงคราม ต้องการสร้างขึ้นใหม่และให้ออกแบบไว้แล้วคือ ตึกแถวสามชั้น สองชั้น และชั้นเดียวตามริมถนนรอบบริเวณวัง ลักษณะคล้ายกับตึกแถวริมถนนราชดำเนิน
ขณะนั้นที่ดินของวังนางเลิ้งนอกเขตตำหนักใหญ่ถูกแบ่งเป็นแปลงๆ มีผู้ถือกรรมสิทธิถึง 14 ราย จึงสร้างความยุ่งยากในการต่อรองให้ปรับปรุงพื้นที่ตามความต้องการของรัฐบาลอย่างมาก จนกระทั่งมีการผลักดันให้ออกพระราชบัญญัติเวนคืน
ที่สุดโครงการนี้ก็ถูกยกเลิก เมื่อจอมพล ป.พิบูลสงคราม พ้นจากตำแหน่ง
ปลายปี พ.ศ. 2490 นายควง อภัยวงศ์ นายกรัฐมนตรี ต้องการเช่าตึกใหญ่ในวังนางเลิ้งเป็นที่ทำการกรมเลขาธิการคณะรัฐมนตรี แต่จะต้องลงทุนซ่อมแซมเป็นวงเงิน 460,000 บาท ซึ่งรัฐบาลยังไม่มีเงินเพื่อการนี้จึงให้ระงับไว้
ถึงเดือนเมษายน พ.ศ. 2491 ทางกระทรวงศึกษาฯ ขอเช่าวังนางเลิ้งเพื่อขยายการศึกษาวิชาชีพตามนโยบายรัฐบาล โดยจะขอเช่าเป็นเวลา 20 ปี และจะดำเนินการก่อสร้างซ่อมแซมอาคารเรียนด้วยงบประมาณของกรมอาชีวศึกษาเอง
ครั้งนี้สำนักงานทรัพย์สินฯ ตกลง โดยคิดค่าเช่าเพียงเดือนละ 300 บาท แต่มีเงื่อนไขว่าอาคารที่ซ่อมสร้างแล้วทุกหลังต้องยกให้เป็นสมบัติของสำนักงานทรัพย์สินฯ ทันที
จอมพล ป.พิบูลสงคราม ซึ่งกลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้งจึงมีดำริให้ขอพระราชทานที่แปลงนี้แบบให้เปล่า ซึ่งทางสำนักงานทรัพย์สินฯ ไม่เห็นด้วย แต่ยินดีจะขายให้แก่องค์การรัฐบาลสำหรับใช้เพื่อการศึกษาเป็นกรณีพิเศษ ในราคา 700,000 บาท
กระทรวงศึกษาฯ ตกลงรับซื้อที่ดินและตัวตึกวังกรมหลวงชุมพรฯ ในราคาดังกล่าวเพื่อตั้งเป็นโรงเรียนพณิชยการพระนคร
กรมอาชีวศึกษาได้เริ่มทำพิธีก่อสร้างอาคารเรียน เมื่อวัน ที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2491 และช่วงนี้เองที่น่าจะมีการรื้อตึกใหญ่ของวังนางเลิ้ง เนื่องจาก ณ เวลานั้นคงชำรุดทรุดโทรมไปมาก เกินกำลังที่กรมอาชีวศึกษาจะหาทุนมาบูรณะไว้ได้
เมื่อไม่เหลือพระตำหนักให้เห็น นานวันเข้าชื่อวังนางเลิ้งก็ถูกลืม หลายคนที่ผ่านไปมาแถวทำเนียบรัฐบาลบ่อยๆ ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าวังนางเลิ้งตั้งอยู่ตรงนั้น
คราวที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้เสด็จฯ มาทรงเป็นองค์ประธานในพิธีเปิดอนุสาวรีย์กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ที่หน้าวิทยาเขตพณิชยการพระนคร เมื่อวันที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2519 ได้มีรับสั่งถามผู้อำนวยการขณะนั้นว่า ยังมีสิ่งใดที่ในสมัยเป็นวังหลงเหลืออยู่บ้าง เมื่อทรงทราบว่ามีเรือนเก่าหลังหนึ่งเหลืออยู่ จึงมีพระราชกระแสรับสั่งว่า “ให้อนุรักษ์ไว้”
เรือนหลังนั้นต่อมาเรียกกันว่า “เรือนหมอพร” เพราะช่วงหนึ่งได้ถูกใช้เป็นเรือนพยาบาลของวิทยาลัย มีลักษณะเป็นเรือนไม้ 2 ชั้น เจ้าของเรือนเดิมคือ หม่อมเมี้ยน อาภากร ณ อยุธยา ตั้งอยู่ไม่ห่างจากตำหนักใหญ่นัก ทางวิทยาเขตได้บูรณะซ่อมแซมเรือนหลังนี้มาตลอด และปัจจุบัน (2544-กองบก.ออนไลน์) ได้จัดให้เป็น “ศูนย์วัฒนธรรม วิทยาเขตพณิชยการพระนคร สถาบันราชมงคลเฉลิมพระเกียรติ”
ภายในเรือนหมอพรมีตู้จัดแสดงข้าวของเครื่องใช้สมัยกรมหลวงชุมพรฯ อยู่หลายชิ้น เช่น เครื่องยศ เครื่องปรุงยา เครื่องดนตรี โต๊ะทรงงาน ฯลฯ ตามผนังประดับพระฉายาลักษณ์ และป้ายบอกพระประวัติ และกรณียกิจของพระองค์ที่สำคัญต่อบ้านเมือง
อนุสรณ์ที่เหลือให้เห็นว่าตรงนี้เคยเป็นวังอีกอย่างคือ กำแพงขาวที่มีใบเสมาอยู่หน้าวิทยาเขตด้านถนนพิษณุโลก ซึ่งเป็นกำแพงของเดิม กำแพงแบบนี้ปกติจะใช้กับวังของสมเด็จเจ้าฟ้าเท่านั้น แสดงว่าพระองค์เจ้าอาภากรทรงได้รับการยกย่องเสมอในเจ้าฟ้าด้วยเช่นกัน…
อ่านเพิ่มเติม :
- พระอุปนิสัย-พระจริยวัตรของ “กรมหลวงชุมพรฯ” ที่คนเคารพนับถือ และแง่ความศักดิ์สิทธิ์
- พลิกข้อมูลใหม่ ในพระประวัติ กรมหลวงชุมพรฯ จากหลักฐานกว่าร้อยปีที่ถูกลืม
หมายเหตุ : คัดเนื้อหาจากบทความ “วังนางเลิ้งของกรมหลวงชุมพร” เขียนโดย สุรินทร์ มุขศรี ในศิลปวัฒนธรรม ฉบับกันยายน 2544
เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 20 มกราคม 2563
Joannie หาเรื่องแบบนี้มาลงเยอะๆครับ มีความรุ้ประวัติศาสตร์ อ่านแล้วเพลินฤ
21 ม.ค. 2563 เวลา 03.59 น.
ทุกสิ่งถูกสร้างขึ้นมา สักวันมันก็จะเลือนหายจากไป เหลือไว้แต่สิ่งที่ดีงามที่จะอยู่ตลอดไป
21 ม.ค. 2563 เวลา 03.32 น.
กฤติเดช สุขเนืองนอง สิ่งปลูกสร้างโบราณ ถูกทุบไม่ปล่อยทิ้งร้าง กรมศิลป ก็ไม่ใส่ใจ ที่ใส่ใจก็สร้าง หรือโบะ๊ โป๊ะ ตามใจจนไม่เหลือเค้าเดิม เสียดายมาก
21 ม.ค. 2563 เวลา 03.20 น.
น่าเสียดายกับในสิ่งดีๆที่เคยมีมา ที่ต้องมาเปลี่ยนแปลงไปตามวัฐจักรของสังคม.
21 ม.ค. 2563 เวลา 05.16 น.
ณ อนิจจา วัฏฏะ สังขารา ทุกสิ่งมีเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป
21 ม.ค. 2563 เวลา 04.03 น.
ดูทั้งหมด