ช่วงเวลานี้ของปี เป็นช่วงที่หลายๆ เมืองรอบโลกต้องเผชิญกับฝุ่นพิษมากกว่าปกติ องค์การอนามัยโลกระบุค่า PM 2.5 ไม่ควรเกิน 25 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตรใน 24 ชั่วโมง และค่า PM 10 ไม่ควรเกิน 50 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร แต่หลายเมืองในไทยในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา กลับมีค่า PM 2.5 เกินมาตรฐานไปไม่รู้กี่เท่า เรามาดูกันว่าเมืองใหญ่เหล่านี้จัดการกับปัญหาอย่างไร ใช้เวลานานแค่ไหนกว่าจะบรรเทา แล้วทุกวันนี้เป็นอย่างไรบ้าง
ลอนดอน
ลอนดอนผจญมลพิษทางอากาศหนักมากในช่วงศตวรรษที่ 19 และ 20 เมื่อประชาชนทั่วไปใช้วิธีเผาถ่านเพื่อให้ความอบอุ่นในบ้าน และอุตสาหกรรมหนักในใจกลางเมืองก็ปล่อยสารเคมีขึ้นสู่อากาศ
ยิ่งอากาศหนาว คนก็ยิ่งเผาถ่าน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นถ่านคุณภาพต่ำ ส่งผลให้มีการปล่อยซัลเฟอร์ไดออกไซด์สู่อากาศมากขึ้น นอกจากนี้ สภาพอากาศแอนไทไซโคลนเหนือกรุงลอนดอนทำให้อากาศเย็นถูกกดอยู่ใต้ชั้นอากาศอุณหภูมิสูง ช่วงปี 1952 วิสัยทัศน์บนท้องถนนวิกฤติหนัก มองไปข้างหน้าได้แค่ไม่กี่เมตร คาดว่าเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตกว่า 1 หมื่นราย
ปี 1956 สหราชอาณาจักรออกกฎหมาย “อากาศสะอาด” เป็นการกำกับดูแลทั้งภาคอุตสาหกรรมและภาคครัวเรือน กำหนดพื้นที่ควบคุมควันในเมืองต่างๆ อนุญาตให้ใช้เชื้อเพลิงที่ไม่ทำให้เกิดควันเท่านั้น พร้อมทั้งให้เงินอุดหนุนครัวเรือนที่เปลี่ยนมาใช้เชื้อเพลิงที่ “สะอาด” ขึ้น กฎหมายนี้ถูกใช้จนถึงปี 1968 จนคุณภาพอากาษในกรุงลอนดอนดีขึ้นมากในทศวรรษต่อมา แต่ถึงดีขึ้น คุณภาพอากาศในกรุงลอนดอนก็ยังอยู่ในระดับที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ ล่าสุด รัฐบาลได้กำหนดพื้นที่ “Ultra Low Emission Zone” โดยจะมีการเก็บเงินคนขับที่สร้างมลพิษทางอากาศ ซึ่งเมืองลอนดอนระบุว่า ตั้งแต่บังคับใช้ระเบียบนี้ มลพิษทางอากาศลดลงถึง 30 เปอร์เซ็นต์ อย่างไรก็ตาม กรุงลอนดอนยังคงเป็นเป็นเมืองที่มีมลพิษทางอากาศสูงเป็นอันดับต้นๆ ของยุโรป
ปักกิ่ง
การเติบโตอย่างรวดเร็วของภาคอุตสาหกรรมในจีน และการเป็นเจ้าของรถยนต์ส่วนบุคคลมากขึ้น ส่งผลให้มลพิษทางอากาศสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ปี 2014 รายงานโดยสถาบันวิทยาศาสตร์สังคมในเซี่ยงไฮ้ ระบุว่ากรุงปักกิ่งใกล้ถึงระดับที่มนุษย์ไม่สามารถอาศัยอยู่ได้
ปี 1998 รัฐบาลจีนเริ่มบังคับใช้กฎหมาย ปรับมาตรฐานการวัดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้ต่ำลง สร้างระบบตรวจสอบคุณภาพอากาศที่มีความก้าวหน้าอย่างมาก และสร้างระบบขนส่งมวลชนมากขึ้น จีนใช้เวลา 2 ทศวรรษจึงเห็นผล รายงานของสหประชาชาติระบุว่า จากการเปรียบเทียบค่าฝุ่นในอากาศระหว่างปร 2013 และ 2017 พบว่ามลพิษลดลงถึง 35 เปอร์เซ็นต์ และมลพิษในบริเวณโดยรอบปักกิ่งลดลง 25 เปอร์เซ็นต์
ปัจจุบัน ถึงแม้คุณภาพอากาศจะค่อยๆ ดีขึ้น แต่ปัญหามลพิษก็ยังไม่หมดไป ปักกิ่งยังคงต้องสู้กับ PM2.5 ผู้ใช่รถใช้ถนนยังคงสวมหน้ากากจนเป็นเรื่องให้เห็นเป็นปกติ ในขณะที่หลายเมืองใหญ่ของจีนยังคงมีค่ามลพิษทางอากาศสูงกว่าที่รัฐบาลกำหนด
อย่างไรก็ตาม ข้อมูลสหประชาชาติเผยว่า มาตรการอย่างการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของรถยนต์ แรงจูงใจภาคเอกชนที่รัฐบาลเสนอ ความโปร่งใสของข้อมูล และการขยายเศรษฐกิจออกนอกเขตอุตสาหกรรม สามารถช่วยลดระดับมลพิษได้
เม็กซิโกซิตี
กรุงเม็กซิโกซิตี ประเทศเม็กซิโก มีชื่อเสียงโด่งดังเรื่องมลพิษทางอากาศในช่วงปี 1970 ถึง 1980 รายงานระบุว่า แค่หายใจปกติก็เหมือนกับสูบบุหรี่ 1 โหลต่อวัน รถยนต์หลายแสนคันที่แล่นบนท้องถนนผลีกดันให้ระดับมลพิษสูงมาก และเมืองยังล้อมรอบด้วยภูเขา ทำให้เป็นกับดักอากาศ ไม่ถ่ายเท
ปี 1989 เม็กซิโกซิตีกลายเป็นเมืองแรกของโลกที่จำกัดจำนวนการใช้รถยนต์ ลดจำนวนรถบนท้องถนนในช่วงวันจันทร์ถึงวันศุกร์ลง 20 เปอร์เซ็นต์ด้วยการกำหนดหมายเลขทะเบียนรถ ซึ่งส่งผลให้มลพิษลดลงทันที นอกจากนี้ รัฐบาลยังขยายระบบขนส่งมวลชน และเข้มงวดกวดขันรถยนต์เรื่องการปล่อยควันพิษมากขึ้น ทำให้คุณภาพอากาศในเมืองดีขึ้นหลายปีต่อมา
อย่างไรก็ตาม ก็ยังประชาชนบางส่วนที่ซื้อรถยนต์เพิ่ม เพื่อที่จะสามารถขับรถออกจากบ้านได้ทุกวัน ประกอบกับจำนวนประชากรที่มากขึ้น เขตอยู่อาศัยที่ขยายวงกว้างมากขึ้น ทำให้มีคนใช้รถมากขึ้น และคนต้องเดินทางนานขึ้น ส่วนคนที่ไม่มีรถใช้ ส่วนใหญ่ต้องพึ่งการเดินทางที่ไม่ค่อยเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา เม็กซิโกซิตีประกาศภาวะสิ่งแวดล้อมฉุกเฉิน หลังค่า PM2.5 สูงกว่าค่ากำหนดมาตรฐานโดยองค์การอนามัยโลกถึง 6 เท่า
ศักดิ์ ดา "ทำอะไรตามใจ คือไทยแท้" ออกมาตรการอะไรออกมา คนส่วนใหญ่ไม่ค่อยให้ความร่วมมือ
20 ม.ค. 2563 เวลา 04.22 น.
Aor♍️ (Main) คนไทยร่วมด้วยช่วยกันคะ ไม่ใช่วิจารณ์อย่างเดียว เราก็ต้องทำด้วยกันคะ
20 ม.ค. 2563 เวลา 04.25 น.
PaTTira 59🌠 แก้ปัญหาปลายเหตุมันก็จะหนักหน่อย..แต่ถ้าทุกคนในชาติ รัก สามัคคี ร่วมมือกัน มันจะผ่านไปได้คะ..
20 ม.ค. 2563 เวลา 05.56 น.
นฤนารถ อ่านจากเนื้อข่าว สรุปว่า ทำอย่างไรก็ไม่ได้ผล นี่ครับ สุดท้าย 3 เมืองนั่น ก็ยังมีปัญหามลพิษอยู่ดี
แถม เม็กซิโกซิตี้ ยังเป็นตัวอย่างของการจำกัดจำนวนรถให้วิ่งวันคู่ วันคี่ แล้วทำให้ประชาชนหันมาซื้อรถสองคัน หนักเข้าไปอีก (ไม่รู้ว่า บ้านเมืองเขา มีคนเชื่อมโยงว่า ทำอย่างนี้คือเอื้อประโยชน์ บ. ขายรถ หรือเปล่า)
20 ม.ค. 2563 เวลา 04.32 น.
Navaporn Sangbudda รถคันแรก เป็นงัยช่วยสร้างมลพิษเพิ่มเข้าไปอีก ถึงเวลาต้องร่วมมือกันทุกคน อย่าให้รัฐบาลทำฝ่ายเดียวจะช้าเกินไป เราต้องเริ่มทำตั้งแต่บัดนี้ คนละไม้คนละมือบ้านเมืองต้องดีขึ้นแน
20 ม.ค. 2563 เวลา 09.34 น.
ดูทั้งหมด