ไม่มีอาชีพไหนที่ให้ความยั่งยืนแก่ตัวเองไปจนวันตายหากไม่รู้จักวางแผนการใช้ชีวิตที่ดีพอ นักกีฬาก็เช่นกัน สมัยโด่งดังเป็นซูเปอร์สตาร์มีรายได้และทรัพย์สินมากมายมหาศาล ทว่าถ้าหลงระเริงไปกับชื่อเสียงใช้เงินแบบสุรุ่ยสุร่าย มีเท่าไหร่ก็ใช้หมด ครั้นยามแก่ชราก็จะกลายเป็นผู้ตกทุกข์ได้ยาก ดังนั้นช่วงหลังเราจึงเห็นนักกีฬาหลายๆที่เข้าสู่ช่วงบั้นปลายการเล่นอาชีพ เริ่มผันมาทำธุรกิจโดยอาศัยชื่อเสียงของตนเองเป็นแบรนด์ ต่อยอดให้มีเงินเก็บกินไว้ใช้หลังจากรีไทร์ไปแล้ว
ยกตัวอย่าง คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ดาวยิงจอมสับของ ยูเวนตุส มีธุรกิจทำเงินมากมายทั้งกิจการโรงแรมส่วนตัวที่บ้านเกิดและสเปน รวมถึงเสื้อผ้า หูฟัง ภายใต้แบรนด์อันทรงพลังชื่อ CR7, มาเรีย ชาราโปว่า นางฟ้าเทนนิสแห่งรัสเซีย เปิดไลน์ขนมหวานชื่อ ชูการ์โปว่า ขายดิบขายดีในหลายประเทศ หรือที่เป็นตำนานอย่าง ไมเคิล จอร์แดน จับมือ ไนกี้ ผลิตรองเท้าแบรนด์ “แอร์ จอร์แดน” ที่ไม่ว่าจะออกมากี่รุ่น หรือเอารุ่นเก่ามาทำ Reissue ขายใหม่ แพงแค่ไหนก็มีแต่สาวกต่อคิวซื้อทั้งหน้าร้านและออนไลน์อย่างบ้าคลั่งจนตอนนี้กลายเป็นเศรษฐีมีเท่าไหร่ก็ใช้ไม่หมด
ส่วนคนที่น่าสนใจที่สุดชั่วโมงนี้คือ ไมค์ ไทสัน อดีตกำปั้นรุ่นยักษ์ชาวอเมริกัน มีธุรกิจที่ไม่ธรรมดาแถมยังมีลูกค้ามากมายที่พร้อมให้การสนับสนุนตั้งแต่วัยรุ่นยันวัยดึก แถมไม่ผิดกฎหมายเพราะนั่นคือธุรกิจ “กัญชา” ที่แม้ว่ารัฐบาลของสหรัฐอเมริกาจะยังไม่อนุญาตให้ใช้ได้อย่างถูกกฏหมายไปทั่วประเทศ แต่ก็มีบางรัฐที่ได้รับการยกเว้นรวมถึงแคลิฟอร์เนีย ที่ “มฤตยูดำ” ลงหลักปักฐานสร้างไร่กัญชาที่นี่ โดยมีผู้เชี่ยวชาญทั้งสายเกษตรและการแพทย์คอยให้คำปรึกษาดูแลการผลิตทุกขั้นตอน
เจ้าของแชมป์โลกเฮฟวี่เวท 3 สถาบัน หลังแขวนนวมออกห่างจากวงการหมัดมวยก็มีหน้าที่การงานอื่นเข้ามามากมายทั้งคอมเมนเตเตอร์ให้ความเห็นเรื่องคู่ชกไฟต์ต่างๆ, เป็นนักแสดงรับเชิญภาพยนตร์เรื่องดังอย่าง แฮงค์โอเวอร์, เปิดการแสดงแบบ เดี่ยวไมโครโฟน มีผู้ชมชื้อตั๋วมาฟังประสบการณ์ของเจ้าตัวกันแบบอบอุ่นและออกอากาศตามช่องเคเบิล HBO และอื่นๆอีกมากมาย กระนั้นก็ไม่มีธุรกิจอันใดที่จะสร้างความมั่งคั่งให้แก่อดีตกำปั้นวัย 52 ปี ได้เท่าธุรกิจกัญชาเกรดพรีเมียมที่ทำอยู่ในปัจจุบัน
ธุรกิจกัญชาของ ไมค์ ไทสัน เริ่มต้นขึ้นเมื่อรัฐบาลอเมริกาปลดล็อคให้รัฐแคลิฟอร์เนีย ซื้อ-ขาย และเสพกัญชาได้อย่างถูกกฎหมายเมื่อปี 2016 เจ้าตัวและเพื่อนฝูงก็เดินทางไปซื้อที่ดินกว่า 100 ไร่ บริเวณใกล้เคียงอุทยานแห่งชาติ เดธ วัลลี พร้อมกับตั้งชื่อบริษัทเรียบร้อยว่า “Tyson Holistic” ซึ่งเป้าหมายก็คือผลิตกัญชาสำหรับใช้เพื่อความผ่อนคลาย หรือใช้สำหรับผสมอาหารด้วยคุณภาพระดับสูงเหนือกว่ากัญชาจากพ่อค้าทั่วไป ภายใต้แบรนด์ชื่อ “Tyson Ranch” แน่นอนว่าผลิตภัณฑ์ของ ไทสัน ไม่ต้องไหว้วานคนดังมาช่วยโปรโมตการขายเพราะคนพิสูจน์คุณภาพก็คือเจ้าตัวเอง
สมัยครองความยิ่งใหญ่บนสังเวียนผืนผ้าใบ “ไอรอน ไมค์” เคยพูดออกสื่อว่าเขาเสพกัญชาทุกครั้งก่อนขึ้นเวที ส่งผลให้ตนเองมีกำลังวังชาตะบันหน้าคู่แข่งได้อย่างทรงพลัง และนั่นก็ทำให้วงการแพทย์ของอเมริกาต้องนำเรื่องกัญชาที่เคยผิดกฏหมายมาทบทวนใหม่จนพบว่านอกจากความเคลิบเคลิ้มผ่อนคลายก็ยังมีสรรพคุณทางยาด้วย จนทำให้มีนักกีฬาคนอื่นเริ่มหันมาใช้บ้าง แต่แน่นอนว่ามีข้อดีก็ต้องมีข้อเสียเมื่อบางคนใช้มันอย่างไม่บันยะบันยังจนกลายเป็นเสพติดขาดไม่ได้ ผิดกับ ไทสัน ที่ใช้อย่างพอดีไม่เสียผู้เสียคน
กลับมาที่ไร่กัญชาของ ไมค์ ไทสัน ถึงนักชกคนดังจะไม่ได้ลงมือปลูกเองแต่ก็มีเกษตรกรผู้เชี่ยวชาญจ้างมาทำการเพาะปลูก โดยเจ้าตัวจะตรวจสอบคุณภาพสินค้าขั้นสุดท้ายก่อนปล่อยสู่ตลาดในรูปแบบตลับสีดำหรูหราน่าอุดหนุน และแน่นอนว่าคนที่เสพกัญชามาทั้งชีวิตอย่าง ไทสัน ไม่ปล่อยสินค้าเกรดต่ำออกตลาด ทำให้มีลูกค้ามากมายที่เป็นทั้งแฟนคลับหรือไม่รู้จักมาก่อน ยกนิ้วให้สินค้าของเขาและอุดหนุนแบบอุ่นหนาฝาคั่ง ส่วนรายได้แม้ไม่มีการเปิดเผยเลขที่ชัดเจนแต่ก็คาดว่าอดีตกำปั้นรายนี้ทำเงินจากกัญชาเฉียด 1,000 ล้านเหรียญ (ประมาณ 31,200 ล้านบาท) แล้ว
ลูกค้าส่วนใหญ่กว่า 90% ของอดีตนักชกผู้อื้อฉาวคือวัยรุ่นที่ชอบความสนุกสนาน โดยเฉพาะตามงานเทศกาลดนตรีที่เจ้าตัวจะนำสินค้าไปจำหน่ายในพื้นที่ๆไม่ผิดกฏหมายให้เด็กที่บรรลุนิติภาวะแล้วได้ใช้ ขณะที่ผู้ใหญ่ซึ่งมีความเครียดจากหน้าที่การงานก็หันมาอุดหนุนสินค้าสายเขียวของ ไทสัน เช่นเดียวกัน แถมยังมีนักแสดงคนดังมากมายให้ความสนใจมาพูดคุยและลิ้มรสผลิตภัณฑ์ของเขาแบบสลับสับเปลี่ยนกันไปอย่าง ฌอน เพนน์, โรซีแอนน์ แม้แต่ คอเนอร์ แม็คเกรเกอร์ นักสู้จอมโวแห่ง UFC ก็ยังมีโอกาสได้ลองสินค้าและยกนิ้วให้ว่ามันเยี่ยมไปเลย
ธุรกิจของ ไมค์ ไทสัน มั่งคั่งถึงขีดสุดจนทำให้นักมวยจอมกัดหูเปิดโปรเจกต์ใหม่เรียบร้อยนั่นคือการเปิดรีสอร์ตกัญชาขนาดใหญ่ในพื้นที่กว่า 420 เอเคอร์ที่ แคลิฟอร์เนีย ใกล้กับบริเวณ ดีเสิร์ต ฮอต สปริงส์ โดยแผนการที่วางไว้คือสร้างโรงแรมที่พัก, พื้นที่สันทนาการต่างๆที่เปิดให้ลูกค้ามากางเต็นท์นอนสัมผัสบรรยากาศธรรมชาติ, คอนเสิร์ตที่จะดึงศิลปินดังแวะเวียนมาให้ความบันเทิงและที่ขาดไม่ได้คือจำหน่ายกัญชาเกรดพรีเมียมในพื้นที่ของตัวเอง พร้อมกับเปิดหลักสูตรอบรมให้ความรู้เรื่องกัญชาแก่ผู้ที่สนใจเช่นกัน โดยปัจจุบันกำลังดำเนินการก่อสร้างอยู่
แม้ทุกวันนี้กัญชาจะยังไม่ใช่สิ่งที่คนทั่วโลกให้การยอมรับในวงกว้าง แต่ประสบการณ์จากผู้ใช้จริงอย่าง ไทสัน นอกเหนือจากเรื่องธุรกิจก็คือการล้างภาพลักษณ์ความเป็นยาเสพติดของมัน โดยระบุว่าหากใช้ในปริมาณที่เหมาะสม ไม่ตกเป็นทาสของมัน สิ่งนี้ก็จะเป็นประโยชน์ต่อตนเอง “ผมอยากให้ทุกคนมองในมุมของผมบ้าง การเข้าสู่วงการนี้ผมไตร่ตรองมาดีแล้ว ที่ผ่านมาผมอาจเสพยาหนักแต่ตอนนี้มันเปลี่ยนไป และการใช้กัญชาช่วยเหลือผู้คนในสายตาผมก็คือสิ่งที่ดี”
ส.อ.ฤทธิไกร ศ. ต่างประเทศเขาขายกันต้นละ2แสนเลยนะ 1ต้นใช้เวลาเพียง5-6เดือนเท่านั้นเอง
ถ้าเราปลูกพื้นที่แค่10*10เมตร 1เมตรต่อ1ต้น ก็ได้100ต้นเลยนะ เท่ากับว่าจะมีรายได้ 20ล้านใน6เดือน
ไทยเราควรเปิดโอกาสให้ปลูกส่งออกขายให้ตปท.น้ะ เอาขายส่งต้นละ1แสนก็ยังดี
16 มิ.ย. 2562 เวลา 07.53 น.
Nwit ไมค์ มาถูกทางแล้ว
16 มิ.ย. 2562 เวลา 09.00 น.
Ti. ไอ้เสี่ยหนู กับไอ้บิ๊กเน มันคิดการใหญ่ จะทำให้ จ.บุรีรัมย์เป็นคล้ายๆแบบนี้ละ
16 มิ.ย. 2562 เวลา 07.58 น.
Boat Watunyou ยิ้มหวานทุกรูป
16 มิ.ย. 2562 เวลา 07.55 น.
The Peaceful of Life เอาเรื่องส่งออกสินค้าเกษตรตัวอื่นให้รอดก่อน หอมกระเทียมมึงยังนำเข้าจากเพื่อนบ้านเลย ประสาอะไรกับกัญชา เกรดพรีเมี่ยมมึงอย่าฝันถึง มึงปลูกมาขาย ราคามึงก็ไม่ต่างจากต้นหอมผักชีที่ตลาดหรอก ต่อให้มึงสรรหาเมล็ดเกรดพรีเมี่ยม มึงก็ต้องส่ง ภาษีรายละเอียดต่างๆเกี่ยวกับสายพันธุ์ แล้วทางกลุ่มนายทุนจะเป็นคนกำหนดสายพันธุ์ที่จะขายได้ มันจะกำหนดได้แม้กระทั่งราคาที่มันอยากจะซื้อมึง สุดท้ายมึงขายไม่ได้ ราคาตก มึงก็ฟันทิ้ง แอบขายมึงก็โดนจับ เลี่ยงภาษี มึงก็โดนอีก
16 มิ.ย. 2562 เวลา 09.01 น.
ดูทั้งหมด