ไลฟ์สไตล์

ส่องชีวิตและร่างกายที่คนไม่เคยรู้ นายกฯใหม่ “เศรษฐา ทวีสิน”

ประชาชาติธุรกิจ
อัพเดต 27 ส.ค. 2566 เวลา 13.12 น. • เผยแพร่ 27 ส.ค. 2566 เวลา 13.33 น.
เศรษฐา ทวีสิน

ผู้เขียน : ชัชพงศ์ ชาวบ้านไร่

และแล้ววันนี้ก็มาถึง “เศรษฐา ทวีสิน” คือนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ของประเทศไทย หลายคนอาจเคยเห็นเศรษฐามาก่อนในฐานะผู้บริหาร บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) ยักษ์ใหญ่ในวงการอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งเป็นที่รู้จักในวงกว้าง

โฆษณา - อ่านบทความต่อด้านล่าง

วันนี้ เมื่อเศรษฐาเปลี่ยนสถานะจากนักธุรกิจเป็นนายกรัฐมนตรีคนต่อไปของประเทศไทยแล้ว “ประชาชาติธุรกิจ” ขอเกาะกระแสพาทุกคนไปรู้จักตัวตนของเขาให้มากขึ้น ทั้งการดำเนินชีวิต และไลฟ์สไตล์ของนายกรัฐมนตรีคนใหม่แกะกล่อง

เศรษฐา ทวีสิน หรือเสี่ยนิด เกิดและโตในครอบครัวที่มีฐานะร่ำรวย เป็นลูกชายเพียงคนเดียวของ “ร้อยเอกอำนวย ทวีสิน” และ “ชดช้อย ทวีสิน” จากสกุล “จูตระกูล” โดยเศรษฐามีความเกี่ยวข้องทางเครือญาติกับตระกูลใหญ่ในแวดวงธุรกิจถึง 5 ตระกูล ได้แก่ ยิบอินซอย, จักกะพาก, จูตระกูล, ล่ำซำ และบุรณศิริ

จะทำอะไรต้องมีแพสชั่น

โฆษณา - อ่านบทความต่อด้านล่าง

เศรษฐาให้สัมภาษณ์พิเศษกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ด้วยน้ำเสียงจริงจังเมื่อช่วงปลายเดือนมกราคม 2566 ว่า “ผมจะทำอะไร ผมต้องมีแพสชั่นไม่งั้นผมไม่ทำ” ไม่ว่าจะเป็นเรื่องฟุตบอล เรื่องเด็ก เรื่องกรีน เรื่องความยั่งยืน หรือเรื่อง LGBTQ+ จะต้องมีแพสชั่นชัดเจน อยากทำให้ออกมาดี ให้เหมาะสมกับการที่ลงไปทำในสิ่งนั้น ๆ ต้องให้ความสำคัญกับมันจริง ๆ

“ถ้าไม่มีแพสชั่นไม่ทำดีกว่า เรื่องไหนไม่สนใจ ผมจะไม่ทำ” ซึ่งไม่ได้หมายความว่าเรื่องเหล่านั้นไม่สำคัญ แต่เพราะคนเราทำทุกอย่างไม่ได้ ถ้าจะไปทำงานการเมืองก็ต้องทำเพื่อประเทศชาติเป็นหลัก

“ผมคิดอยู่นานมากเหมือนกันนะครับ อย่างที่ทราบดีว่านักธุรกิจที่ก้าวเข้าสู่การเมือง และปรารถนาจะอยู่ในตำแหน่งที่สูงสุด ก็มีเสียงเตือนเยอะ วิบากกรรมเยอะ เป็นที่เพ่งเล็ง”

โฆษณา - อ่านบทความต่อด้านล่าง

แม้จะอยู่ในวงการธุรกิจมานานกว่า 30 ปีแล้ว เริ่มต้นตั้งแต่พนักงาน 7 คน จนกลายเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่พนักงานกว่า 4,000 คน แต่ธุรกิจกับการเมืองนั้นแตกต่างกันหลายอย่าง การสั่งพนักงานในบริษัทไม่เหมือนกับการสั่งข้าราชการ

ฉะนั้นหลาย ๆ อย่างจึงไม่ใช่เรื่องง่าย ไม่ใช่ว่าเราประสบความสำเร็จในวงการธุรกิจแล้วเราจะเป็นนักการเมืองที่ประสบความสำเร็จได้ ดังนั้น เราต้องฟังคนที่เขาปรามาสเรา

มีรสนิยม ลงรายละเอียด กล้าได้กล้าเสีย

อุปนิสัยของนายกฯคนนี้ แม้จะเป็นคนใจร้อน โผงผาง ดูดุ เสียงดัง และตรงไปตรงมา แต่ความโดดเด่นก็คือ เป็นคนลงรายละเอียด มีรสนิยม จึงสามารถสร้างแบรนด์แสนสิริให้เติบโตขึ้นมาได้อย่างยิ่งใหญ่ ด้วยความชอบด้านการตลาด กล้าได้กล้าเสีย จะขาดทุนหรือกำไรค่อยว่ากัน แต่ต้องทุ่มสร้างคอนเทนต์ไปก่อน

ในการให้สัมภาษณ์กับประชาชาติธุรกิจเมื่อต้นปีที่ผ่านมา เขาบอกว่า ธุรกิจสมัยนี้ต้องอาศัยความรวดเร็ว ฉับพลัน ทันเวลา ถ้าคุณตัดสินใจช้าไปหน่อยเดียวมันก็เจ๊ง แต่ก็ขึ้นอยู่กับแต่ละเรื่องด้วย บางเรื่องต้องช้าเพราะมันยังไม่สุก บางทีมันแล้วแต่สถานการณ์ เพราะฉะนั้นประสบการณ์ในการทำงานมีส่วนสำคัญมากในการที่จะตัดสินใจได้ช้าหรือเร็ว แต่ถ้าองค์ประกอบและข้อมูลพร้อม ผมเชื่อว่าต้องตัดสินใจเร็ว ต้องทำให้เร็ว หลาย ๆ อย่างมันต้องชัดเจน

“ซีอีโอแต่ละคนก็ต่างกันไป ผมอาจจะเป็นซีอีโอที่เข้าถึงได้ เป็นซีอีโอที่ลงรายละเอียด และให้อิสรภาพในการทำงานหลาย ๆ เรื่อง แต่บางเรื่อง เช่น แบรนดิ้ง ผมจะดูเอง ทั้งโปสเตอร์ บิลบอร์ด หรือโฆษณา ผมเชื่อว่าทุกคนยอมรับว่าแสนสิริมีแบรนดิ้งที่แข็งแกร่ง มีโฆษณาที่ดูแล้วเก๋เท่ และมีความสง่างาม

ผมไม่ได้เคลมว่าผมมีรสนิยมดีกว่า แต่เรื่องภาพลักษณ์ต้องมีคนตัดสิน ผมถือว่าผมสูงสุดและมันคือหน้าตาของผม ผมอยากหน้าตาแบบนี้ บ้านราคาแพงของแสนสิริต้องเป็นแบบนี้ ดังนั้น แล้วแต่ว่าซีอีโอคนไหน เขาเห็นว่าเรื่องอะไรสำคัญ”

แฟนลิเวอร์พูลตัวยงแต่ดูบอลแบบเป็นกลาง

เศรษฐาคลั่งไคล้ฟุตบอลมากและเป็นแฟน “หงส์แดง” ลิเวอร์พูลตัวยงอีกคนหนึ่งในเมืองไทย แต่การเชียร์ทีมรักของเขามีความน่าสนใจอยู่ไม่น้อย นายกรัฐมนตรีคนที่ 30 เคยกล่าวถึงเรื่องนี้ ในการให้สัมภาษณ์กับประชาชาติธุรกิจเมื่อต้นปี 2563 ว่า ความชอบฟุตบอลของเขาเริ่มจากการที่ชอบเล่นฟุตบอลที่โรงเรียนเมื่อสมัย 50 กว่าปีก่อน และทุกวันนี้ก็ยังเล่นอยู่

ย้อนกลับไปสมัยนั้นคงไม่มีใครไม่รู้จักหนังสือ “สตาร์ ซอคเก้อร์” และแน่นอน เศรษฐาก็เป็นหนึ่งในผู้อ่าน เขาบอกว่า ปลายยุค 70’s ถึงต้นยุค 80’s ทีมที่ยิ่งใหญ่ก็คือ ลิเวอร์พูล

“แต่จริง ๆ แล้วผมเป็นคนสนใจทีมที่เล่นสนุกมากกว่า ถ้าถามทีมที่เชียร์ก็คือ เชียร์ลิเวอร์พูล แต่ผมมั่นใจว่าผมเป็นแฟนลิเวอร์พูลที่ดูฟุตบอลได้แบบมีความเป็นกลาง และเข้าใจว่าอะไรถูกอะไรผิด

ตอนนั้นเป็นยุครุ่งเรืองของลิเวอร์พูล เล่นดุดัน สนุก เร้าใจ แต่ผมยืนยันเลยว่า ผมดูบอลได้อย่างเป็นกลาง ไม่ใช่ว่าเป็นแฟนพันธุ์แท้แล้วคุยด้วยเหตุด้วยผลไม่ได้ เวลาคนเราบ้าอะไรก็อยากให้มันออกมาดี แต่ว่าสิ่งที่คุณอยากให้เป็น กับสิ่งที่มันเป็น คุณต้องแยกให้ถูกมันถึงจะสนุก ถึงจะเข้าใจโลก”

“ประชาชาติธุรกิจ” เคยถามเศรษฐาเมื่อครั้งที่ลิเวอร์พูลคว้าแชมป์ลีกสูงสุดของอังกฤษในรอบ 30 ปี ว่าอยากบินไปดูทีมรักรับถ้วยแชมป์ไหม เศรษฐาในตอนนั้นตอบว่า

“ไม่เลย ไม่ไปแน่นอน ผมอยากไปดูความสนุก ผมไม่ได้ไปเพื่อดีใจ หรือไปเพื่อเซลฟี ผมไม่ใช่คนที่ต้องไปฉลอง นัดสุดท้ายสมมติเราไปเล่นกับวัตฟอร์ด มันจะสนุกที่ไหนล่ะ ผมไปดูแมนฯ ซิตี้ เล่นกับเลสเตอร์ ขับเคี่ยวกันมันกว่า” คำตอบน่าสนใจไม่น้อย

เศรษฐาเคยบอกว่าฟุตบอลนำมาปรับใช้กับการทำงานได้ มันก็เสริมกันไปซึ่งกันและกัน อย่างเช่นแง่คิดที่ว่า บางวันของคุณก็ขายดี บางวันของคู่แข่งก็ขายดี ก็เหมือนฟุตบอลที่วันนี้คุณแพ้ พรุ่งนี้คุณชนะ

“มันเหมือนกันคือคุณต้องตื่นขึ้นมาทำงานไม่ว่าจะแพ้หรือชนะ คุณก็ต้องทำงานหนัก ต้องขวนขวายหาจุดแข็งและจุดอ่อนของคุณ เจอจุดอ่อนก็ต้องพัฒนา ทำธุรกิจมันเหมือนกันหมด เพียงแต่คุณมีโอกาสจะทำอะไรเท่านั้นเอง”

เมื่อก่อนเศรษฐาเคยบอกว่าถ้าอยู่กรุงเทพฯ อยากเตะบอลให้ได้สัปดาห์ละ 3 ครั้ง หรือบ่อยกว่านั้น แต่วันนี้ที่ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีแล้ว เห็นทีจะเป็นไปได้ยาก เพราะภารกิจน่าจะรัดตัว และในส่วนของนโยบายด้านการกีฬาก็คงถูกคาดหวังไม่น้อย

นายกฯ ที่รักและดูแลสุขภาพ

เศรษฐา ทวีสิน เป็นหนุ่มใหญ่ที่มีไลฟ์สไตล์ชัดเจน โดยเฉพาะเรื่องการรักและดูแลสุขภาพของตัวเอง โดยมีคุณหมออ้อม พักตร์พิไล ทวีสิน ภริยาคู่ชีวิตช่วยดูแลอีกทางหนึ่ง

ท่านนายกฯคนใหม่เคยเปิดเผยกับทีมงานประชาชาติธุรกิจว่า เป็นคนป่วยบ่อยในวัยเด็ก และได้ตรวจพบว่าไตของตัวเองไม่แข็งแรง จึงต้องตัดออก ทำให้ชีวิตต้องมีไตข้างเดียว

เรื่องไตจึงเป็นที่มาของการรักษาสุขภาพให้ดีที่สุดและต้องแข็งแรง เพื่อให้ดำเนินชีวิตอย่างปกติ ไม่ว่าจะอยู่ในวัยไหน ดังนั้น เรื่องอาหารการกินจึงเป็นสิ่งสำคัญมาก ๆ อาหารแต่ละมื้อของท่านนายกฯ คนใหม่จึงต้องเริ่มด้วย “เมนูผัก” เป็นเมนูแรก เพื่อให้ตัวเองรู้สึกอิ่มสักนิดหนึ่งก่อน แล้วค่อยรับประทานอาหารปกติ

เศรษฐาตระหนักว่า ยิ่งบริโภคโปรตีนในปริมาณที่เยอะก็ต้องบริโภคไฟเบอร์ให้เยอะตามไปด้วย เพราะจะช่วยทำให้ระบบย่อยทำงานดี แล้วภายในร่างกายทั้งไตและตับก็ทำงานไม่หนักเกิน เป็นการถนอมร่างกาย ทำให้ร่างกายแข็งแรง ซึ่งเขาบอกอีกว่า ชีวิตตอนนี้อยู่ตัวแล้ว เพราะได้ดูแลตัวเองมาตลอด และบอกอีกว่า จะใช้ชีวิตอย่างไม่ประมาท

ดูข่าวต้นฉบับ
ความเห็น 2
  • ตะวันฉาย
    เคยแดกเหล้าด้วยกันสมัยหนุ่มๆ ใจถึง
    28 ส.ค. 2566 เวลา 13.54 น.
  • Waew
    ไม่เคยคิดอยากรู้ไม่ต้องขุด
    28 ส.ค. 2566 เวลา 07.32 น.
ดูทั้งหมด