ม.เกษตรฯ ชี้ “หมูเถื่อน” ลักลอบนำเข้าเป็นภัยร้ายทำลายอุตสาหกรรมสุกรไทยในหลายมิติ โดยเฉพาะอนาคตของเกษตรกรรายย่อย เสี่ยงเป็นพาหะนำโรค ASF เข้ามาระบาดซ้ำ บั่นทอนห่วงโซ่การผลิตอาหารของประเทศ และสร้างปัจจัยเสี่ยงในการบริโภคอาหารของคนไทย ย้ำต้องปราบปรามอย่างเด็ดขาด
ผศ.น.สพ. ณัฐวุฒิ รัตนวนิชย์โรจน์ รองคณบดีคณะสัตวแพทยศาสตร์ กำแพงแสน มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กล่าวว่า หมูเถื่อน ส่งผลกระทบใน 2 มิติหลักๆ คือ 1. ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมการเลี้ยงหมูไทย และ 2. ความเสี่ยงต่อสารปนเปื้อนกระทบต่อผู้บริโภค
สำหรับผลกระทบกับอุตสาหกรรมหมูเถื่อนทำให้มีหมูราคาถูกจำนวนมากทะลักเข้าไทย บิดเบือนกลไกราคา ผู้เลี้ยงหมูไทยไม่สามารถขายสุกรได้ตามต้นทุนการเลี้ยงที่แท้จริง ได้รับความเสียหายและมองไม่เห็นอนาคตและโอกาสในการทำกำไรจากการเลี้ยงได้ ไม่มีหลักประกันความมั่นคงในอาชีพที่จะเลี้ยงหมูอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ หมูเถื่อน ยังมีความเสี่ยงที่จะมาจากประเทศที่มีการระบาดของโรค ASF และเป็นพาหะของโรค ซึ่งคุมได้ยากมากและมีโอกาสกลับมาระบาดในไทยและสร้างปัญหาให้กับประเทศได้
การลักลอบนำเข้าหมูเถื่อน แม้จะมาในลักษณะแช่แข็งแล้ว ก็ยังเป็นพาหะของโรคที่สำคัญมาก หากประเทศต้นทางยังมีการแพร่ระบาดของโรค ASF จะส่งกระทบทั้งห่วงโซ่อุปทาน ทั้งผู้เลี้ยงหมู โรงงานอาหารสัตว์ ผู้บริโภค และยังกระทบกับอุตสาหกรรมต่อเนื่อง เช่น อุตสาหกรรมอาหาร อุตสาหกรรมการท่องเที่ยว เพราะการระบาดของโรค ASF มีโอกาสทำให้หมูตาย 95-100% แม้ว่าโรคนี้ไม่ติดคนและเนื้อสุกรยังมีความปลอดภัย แต่เมื่อคนกินเข้าไปจะเป็นพาหะติดตามเนื้อตัว หรือ ทางอุจจาระ
“หมูเป็นหนึ่งในความมั่นคงทางอาหารของไทยมานาน ประเทศที่มีสงครามส่งผลให้อาหารและเนื้อสัตว์ขาดแคลน แต่ไทยไม่ค่อยมีผล เพราะไทยเป็นประเทศที่ผลิตอาหารและเป็นครัวของโลก” ผศ.น.สพ. ณัฐวุฒิ กล่าว
ผศ.น.สพ. ณัฐวุฒิ กล่าวย้ำว่า การตรวจสอบคุณภาพหมูเถื่อนทำได้ยาก จึงมีความเสี่ยงในการบริโภค เนื่องจากหลายประเทศยังอนุญาตให้ใช้สารเร่งเนื้อแดง ชนิดแรคโทพามีน (Ractopamine) เช่น สหรัฐ บราซิล ประเทศที่ไม่อนุญาตให้ใช้ คือ ประเทศทางยุโรป หากหมูเถื่อนมาจากประเทศที่ยังใช้สารเร่งเนื้อแดงมาขายในตลาด จะเป็นอันตรายต่อผู้บริโภคโดยตรง และส่งผลต่อความน่าเชื่อถือของประเทศไทย เพราะไทยหยุดใช้สารเร่งเนื้อแดงมานานเกินกว่า 20 ปี สำหรับสารเร่งเนื้อแดง จะทำให้เกิดผลข้างเคียง โดยเฉพาะการกินเครื่องในสัตว์ โดยเฉพาะตับที่มีการสะสมของสารเร่งเนื้อแดงจำนวนมาก โดยเฉพาะผู้บริโภคที่เป็นโรคหัวใจ จะทำให้หายใจติดขัด
“หมูเป็นเนื้อสัตว์ที่ได้รับความนิยมเพราะเนื้อหมูมีรสชาติเป็นเอกลักษณ์ มีกลิ่นเฉพาะตัว ที่สำคัญคือ ระบบการเลี้ยงหมูของไทยไม่แพ้ชาติใดในโลก และเป็นที่น่ายินดีที่ไทยประกาศยกเลิกการใช้สารเร่งเนื้อแดงมาตั้งแต่ 2547 ซึ่งไทยทำได้ดีมาก ทั้งด้านมาตรฐานความปลอดภัยและมาตรฐานการเลี้ยง” ผศ.น.สพ. ณัฐวุฒิกล่าว
ผศ.น.สพ. ณัฐวุฒิ กล่าวต่อไปว่า การนำเข้าเนื้อหมูมีทั้งข้อดีและข้อเสีย กรณีประเทศไทยที่ปริมาณหมูหายไป 40-50% เนื่องจากโรคระบาด ASF ทำให้เนื้อหมูราคาแพงขึ้น ประกอบกับต้นทุนการผลิตสูงขึ้น ทั้งต้นทุนการเลี้ยง อาหารสัตว์และปัจจัยค่าเฝ้าระวังโรค (Biosecurity) สูงมาก กรณีการนำเข้าในภาวะฉุกเฉินจึงต้องมีการควบคุมให้มาจากประเทศที่มีความปลอดภัยสูงและมีปริมาณที่เหมาะสม ไม่ให้หมูราคาถูกจากต่างประเทศเข้ามาดึงราคาในประเทศให้ต่ำลง ส่งกระทบต่ออุตสาหกรรมการเลี้ยงภายในประเทศ โดยเฉพาะเกษตรกรรายย่อยที่ความสามารถในการแข่งขันต่ำ
สำหรับการผู้บริโภคเนื้อหมูอย่างปลอดภัยต้องพิจารณาจากสี ต้องเป็นสีชมพู หรือต้องเลือกร้านที่มีการรับรอง หรือ รู้แหล่งที่มาของเนื้อสัตว์ชัดเจน ต้องบริโภคเนื้อที่ปรุงสุก เพราะเนื้อดิบยังมีความเสี่ยงเรื่องโรค สำหรับร้านอาหารและร้านหมูกระทะ การใช้วัตถุดิบราคาถูกอาจมีสารปนเปื้อน เมื่อตรวจพบเป็นเรื่องผิดกฎหมาย เป็นอันตรายและมีผลข้างเคียงต่อผู้บริโภค หน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องต้องร่วมมือกันตรวจสอบ เกษตรกรและผู้บริโภคต้องช่วยกันเป็นหูเป็นตา ชี้ช่องในการปราบปราม
สำหรับสถานการณ์ ASF ในปัจจุบันของไทย จำนวนสุกรไม่หนาแน่นเหมือนเดิม การระบาดของโรคไม่มากเท่าเดิม แต่ก็ยังมีการระบาดเพราะเชื้อทนทานต่อสิ่งแวดล้อมมากๆ และมีชีวิตอยู่ในสุกรได้เป็นปี สามารถจะติดเชื้อต่อไปได้ จึงมีโอกาสที่การระบาดจะกลับมา ฟาร์มมีการนำระบบความปลอดภัยทางชีวภาพ (Biosecurity) เช่น การพ่นยาฆ่าเชื้อ การจำกัดคนเข้าและออกฟาร์มให้น้อยลง ระวังสัตว์พาหะ ซึ่งปัจจัยเหล่านี้เป็นปัจจัยที่ทำให้ต้นทุนการเลี้ยงหมูไทยสูงขึ้น และมีผลต่อรากฐานการพัฒนาการผลิตอาหารมั่นคงของไทยในอนาคต.