เสนอปลด ‘มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก’ พ้นประธานกรรมการบริหารเฟซบุ๊ก

กองทุนสาธารณะรายใหญ่ 4 แห่ง ซึ่งถือหุ้นอยู่ในเฟซบุ๊ก อิงค์ ยื่นข้อเสนอให้ปลด “มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก” ซีอีโอบริษัท ออกจากตำแหน่งประธานกรรมการบริหาร หลังบริษัทเกิดเรื่องอื้อฉาวรุนแรงหลายครั้ง

อธิบดีกรมการคลังรัฐอิลลินอยส์ โรดไอส์แลนด์ และเพนซิลเวเนีย รวมถึงนายสกอตต์ สตริงเกอร์ อธิบดีกรมบัญชีกลางนครนิวยอร์ก ซึ่งต่างเป็นผู้รับผิดชอบการคลังของทางการในแต่ละรัฐ ได้ร่วมกันยื่นข้อเสนอดังกล่าว หลังจากก่อนหน้านี้ได้มีกลุ่มนักเคลื่อนไหว และกองทุนทริลเลียม แอสเซท แมเนจเมนท์ เคยออกมาเรียกร้องทำนองเดียวกันนี้ไปแล้ว

ในปี 2560 ข้อเสนอทำนองเดียวกันนี้จากผู้ถือหุ้นเคยล้มเหลวมาแล้วครั้งหนึ่ง เนื่องจากซักเคอร์เบิร์ก เป็นผู้ถือหุ้นข้างมากอยู่ในบริษัท ทำให้การหาทางออกจากบุคคลภายนอกอื่นๆ ให้ผลได้แค่ในเชิงสัญลักษณ์เท่านั้น

นายเซธ เมกาไซเนอร์ อธิบดีกรมการคลังรัฐโรดไอส์แลนด์ กล่าวว่า ข้อเสนอล่าสุดนี้ คุ้มค่าที่จะยื่นไป เพราะเป็นทางหนึ่งที่จะดึงความสนใจไปที่ปัญหาชองเฟซบุ๊ก และวิธีที่จะแก้ไขปัญหาเหล่านี้

“ข้อเสนอนี้จะทำให้เรา สามารถบีบให้เกิดการพูดคุยได้ในการประชุมประจำปี และจนกว่าจะถึงเวลานั้น ก็จะเป็นได้รับฟังความคิดเห็นของบุคคลต่างๆ”

ข้อเสนอล่าสุดนี้ ที่ตั้งเป้าจะให้เกิดการหารือระหว่างการประชุมประจำปี ในเดือนพฤษภาคม 2562 นั้น ยังเรียกร้องให้คณะกรรมการบริหาร (บอร์ด) เฟซบุ๊ก เลือกประธานบริหารอิสระ เพื่อพัฒนาการดำเนินงานของบริษัท แบบเดียวกับที่บริษัทอื่นๆ ทำอยู่

เนื้อหาในข้อเรียกร้องยังอ้างถึงเรื่องขัดแย้งต่างๆ ที่ส่งผลเสียต่อชื่อเสียงของบริษัท ในฐานะเครือข่ายสื่อสังคมออนไลน์รายใหญ่สุดของโลก รวมถึง การแชร์ข้อมูลผู้ใช้งานโดยไม่ได้รับอนุญาต การแพร่กระจายข่าวปลอม และการแทรกแซงจากต่างประเทศในการเลือกตั้งสหรัฐ

นายไมเคิล เฟรริคส์ อธิบดีกรมการคลังอิลลินอยส์ ชี้ว่า แม้ประธานกรรมการบริหารคนนอก อาจจะป้องกันปัญหาเหล่านี้ไม่ได้ทั้งหมด แต่ก็อาจทำให้มีปัญหาน้อยลง และราคาหุ้นร่วงลงไม่เยอะเท่าไร

ทั้งนี้ ตลอดทั้งปีที่ผ่านมา ราคาหุ้นเฟซบุ๊กอยู่ในสภาพลุ่มๆ ดอนๆ มาอย่างต่อเนื่อง ท่ามกลางแรงกดดันอย่างหนักในปัญหาเรื่องความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้งาน และการดำเนินงานของบริษัท นอกเหนือจากความกังวลในเรื่องรายได้ที่ชะลอตัวลง โดยหุ้นเฟซบุ๊กปิดซื้อขายวานนี้ (17 ต.ค.) ที่ 159.42 ดอลลาร์ หรือต่ำกว่าราคาในช่วงต้นปีถึง 10%