พบกับอาบังสไตล์ อาบังสไตล์…
ครับ อีกหลายบรรทัดถัดไปจะว่าด้วยเรื่อง ‘อาบัง’ หรือแขกชาวอินเดียที่เราๆ ท่านๆ อาจเคยเห็นบ่อยหน และเมื่อต้องเล่าขานทั้งทีก็อยากเปิดเผยชีวิตอาบังธรรมดาๆ ผู้บังเอิญอยู่ร่วมในเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ไทย งั้นเริ่มสาธยายกันเลยเถอะ
มิถุนายนเป็นเดือนที่โลดแล่นในความรู้สึกของหลายๆ คน นอกจาก 21 มิถุนา ไวพจน์ลาบวช (คอเพลงลูกทุ่งคุ้นชินเพลงนี้แน่ๆ) พอล่วงเข้า 24 มิถุนา ใครต่อใครไม่แคล้วนึกถึงกรณีเปลี่ยนแปลงการปกครอง พุทธศักราช 2475 ซึ่งน่าจะเคยท่องจำเรื่อยมานับแต่เรียนวิชาสังคมศึกษา ส่วนใหญ่ก็มักยินเสียงพาดพิงกลุ่มบุคคลสำคัญอย่าง ‘คณะราษฎร’ ทว่าอย่าลืมนะครับ ยังมีคนทั่วไปไม่น้อยรายที่ได้สัมผัสบรรยากาศวันนั้นเช่นกัน
ผมเองสนใจค้นคว้าเรื่องราวเกี่ยวกับคนสามัญดังกล่าว ยิ่งอ่านอย่างสังเกตสังกาดูดีๆ พบหลายรายเลยรับรู้สถานการณ์ 24 มิถุนายนขณะกำลังปั่นจักรยาน (โอ้โห! ชวนให้ระลึกภาพหนังอิตาเลียนหลายเรื่องที่ตัวละครนิยมขี่จักรยานขึ้นมาเคลิ้มๆ) เฉกเช่นกรณีของนักเรียนชั้นมัธยม 6 (อายุประมาณ16) โรงเรียนสวนกุหลาบคนหนึ่งซึ่งขี่จักรยานออกจากบ้านในตรอกเศรษฐศิริไปสถานศึกษาตอนเช้ามืด สองขาปั่นรถไปริมฝีปากพึมพำท่องศัพท์ภาษาอังกฤษ 10-20 คำที่จดใส่มือไว้ไปพลางๆ จวบจนจักรยานแล่นผ่านลานพระบรมรูปทรงม้า เด็กหนุ่มสังเกตเห็นความผิดปกติ มีทหารบกทหารเรือยืนเรียงรายพร้อมอาวุธเต็มไปหมด ปืนกลตั้งวางอยู่หลายจุด นายทหารเรือคนหนึ่งถือปืนพกโบกมือเร่งร้องตะโกน “นักเรียน รีบไปเร็วๆ อย่าอยู่ในบริเวณนี้ เดี๋ยวโดนลูกหลง” ทันใดนั้น นักเรียนมัธยม 6 ไม่รอช้าขยับน่องปั่นจักรยานห้อเหยียดมาถึงโรงเรียนของตน นักเรียนคนที่ว่านี้ชื่อประเก็บ คล่องตรวจโรค และกรณีของคนปั่นจักรยานส่งหนังสือพิมพ์ผู้ขี่รถผ่านทางในบริเวณเดียวกัน เขาจึงจำหน่ายหนังสือพิมพ์ให้กับชาวบ้านที่กำลังยืนมุงแถวนั้น
เดี๋ยวๆ ผมชักจะลอยล่องออกทะเลแฮะ ขอวกกลับมาว่ากันถึงอาบังผู้หนึ่งดีกว่า ก่อนตีห้าวันศุกร์ที่ 24 มิถุนายน ท้องฟ้ามัวมืด ขณะนายแขกอินเดียกำลังเฝ้ายาม ณ ที่ทำการไปรษณีย์โทรศัพท์กลางวัดเลียบ ตอนนั้น หลวงโกวิทอภัยวงศ์ (ควง อภัยวงศ์) พร้อมคณะราวๆ 10 คนได้มาปฏิบัติการตัดสายโทรศัพท์โทรเลข ด้วยหูไวแว่วยินเสียงชะแลงงัดประตู อาบังรีบมาดูแล้วร้องเอะอะโวยวายเสียงดัง “โอ้นี่มาทำอารายน่ะ” ส่งผลให้ตำรวจคอยตรวจตราละแวกใกล้ๆ วิ่งตามมา หลวงนิเทศกลกิจ (กลาง โรจนเสนา) นายทหารเรือหนึ่งในคณะนายควงจึงเอ่ยขึ้น “นี่ตำรวจจับไอ้แขกยามนี่ทีเถอะ ยุ่งพิลึกเชียวละ เดี๋ยวราชการงานเมืองเสียหมด” ตำรวจมิทันซักถามอะไรเข้าควบคุมตัวอาบังทันที ที่สุด คณะนายควงก็ดำเนินการตัดสายโทรศัพท์โทรเลขสำเร็จเสร็จสิ้น เรื่องนี้นายควงเล่าย้อนไว้ผ่านชีวประวัติของตนภายหลัง
จะว่าไป อาบังนับเป็นชาวบ้านคนแรกๆ ที่ได้พบเจอคณะผู้ก่อการเลยทีเดียว แต่นายแขกอินเดียกลับถูกจับตัวเสียก่อนแบบงงๆ
อาบังอีกคนหนึ่งก็มิอาจละเลยการเล่าถึงได้ ช่วงต้นทศวรรษ 2480เมืองไทยมิได้มีเพียงระบอบประชาธิปไตย หากมีการเลือกตั้งและสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรปรากฏด้วยแล้ว (การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรครั้งแรกสุดเกิดขึ้นในวันพุธที่ 15 พฤศจิกายน พุทธศักราช 2476)
ตึกสำนักงานหนังสือพิมพ์สุภาพบุรุษประชามิตรตรงหัวมุมถนนวิสุทธิกษัตริย์จรดกับถนนสามเสน (ที่ตั้งเดียวกับโรงพิมพ์อักษรนิติ ส่วนบรรณาธิการคือกุหลาบ สายประดิษฐ์) ผู้ปรารถนาติดต่อย่อมเผชิญหน้าอาบังไว้ผมหางหนูเหนือท้ายทอยเสมอๆ แขกอินเดียคนนี้ปฏิบัติหน้าที่เฝ้าประตูชั้นล่างแข็งขัน ยากจะยินยอมให้บุคคลภายนอกล่วงล้ำผ่านเข้าอาคารง่ายๆ จำเป็นต้องเขียนในสมุดเยี่ยมเสียก่อน โดยชี้แจงว่าคือใคร? มาจากไหน? มาพบนักหนังสือพิมพ์คนใด? และมาด้วยธุระอะไร? จากนั้นอาบังจะนำสมุดเดินขึ้นไปชั้นบนเพื่อมอบแก่คนที่ถูกระบุชื่อลองพิจารณา ถ้าเจ้าตัวอนุญาตให้พบได้ อาบังจึงกลับลงมาเชื้อเชิญผู้ปรารถนาติดต่ออย่างเต็มเปี่ยมมิตรภาพ
สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรนามเลียง ไชยกาล (ส.ส. จังหวัดอุบลราชธานี) เป็นคนหนึ่งผู้เคยแวะสำนักงานหนังสือพิมพ์ สุภาพบุรุษประชามิตรเขาหมายใจจะมาหาเพื่อน ส.ส. ด้วยกันที่เขียนคอลัมน์ประจำสิ่งพิมพ์นี้ ครั้นเจออาบังขวางหน้าประตู พยายามทัดทานและยืนยันให้สำแดงตัวตนในสมุดเยี่ยม นายเลียงพานโกรธถึงขั้นเอ่ยปากกับเพื่อนร่วมทางทำนองถ้าเขาได้เป็นใหญ่เป็นโตจะไม่ให้คนขอเข้าพบยากเย็นเด็ดขาด ซึ่งตอนนายเลียงรั้งตำแหน่งรัฐมนตรีในเวลาต่อมา เขาจัดอยู่ในข่ายบุคคลผู้เข้าพบง่ายยิ่งนัก
แท้จริง นักหนังสือพิมพ์ประจำสุภาพบุรุษประชามิตร หาใช่พวกถือตัวเย่อหยิ่งเหลือเกิน เหตุผลหลักๆ ที่มอบหมายให้อาบังเน้นย้ำการลงชื่อในสมุดเยี่ยมก็เพราะตามปกติผู้กรำงานแวดวงน้ำหมึกมักเลี่ยงมิพ้นสะสมหนี้สินมากมาย ถ้าตรวจดูสมุดของอาบังแล้วจดจำลายมือผู้มาติดต่อได้ว่าคือเจ้าหนี้หรือผู้ทวงหนี้ มีหรือจะมัวนั่งนิ่งเฉยอยู่ พลันลุกลี้ลุกลนชิ่งหนีแบบทันท่วงทีออกไปทางอีกฟากตึกน่ะสิ บุคคลแห่งสำนักงานจึงยอมรับอาบังประหนึ่งด่านปราการอันทรงพลัง
อ้อ! เกือบลืมเชียว ในฐานะที่ผมร่ำเรียนมาจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ควรจะต้องตื่นเต้นต่อ 27 มิถุนายนอันเป็นวันสถาปนามหาวิทยาลัยสักหน่อย (ก่อตั้งเมื่อปีพุทธศักราช 2477) อุตส่าห์เล่าถึงอาบังธรรมดาสามัญในประวัติศาสตร์ไทยมาแล้วสองคน ก็ใคร่ขยายความต่อถึงอาบังผู้มีความผูกพันแน่นแฟ้นกับธรรมศาสตร์ยาวนานกว่า 50 ปี อยากรู้ว่าใคร? โปรดเพ่งดูภาพนี้
เบอร์นาร์ดลืมตาทัศนาโลกเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ปีคริสต์ศักราช 1945 (พุทธศักราช 2488) บ้านเกิดเมืองนอนคือโกรักปูร์ (Gorakhpur) หรือโคราฆปุระในรัฐอุตตรประเทศ (Uttar Pradesh) นักขายถั่วเล่าให้ผมฟังว่าสมัยเพิ่งแตกเนื้อหนุ่มเคยทำนาและเลี้ยงวัว 4 ตัว เติบโตในอินเดียท่ามกลางบรรยากาศการบริหารประเทศของรัฐบาลนายยวาหะร์ลาล เนห์รู (Jawaharlal Nehru) และนางอินทิรา คานธี (Indira Gandhi) เบอร์นาร์ดเดินทางมาสู่เมืองไทยตั้งแต่ปีพุทธศักราช 2511 บ่อยครั้งครับท่านที่ผมปุจฉาว่าระหว่างอินเดียกับเมืองไทยนักขายถั่วชอบแห่งไหนมากกว่ากัน วิสัชนาที่ได้ฟังมักจะเป็นเมืองไทย เพราะใช้ชีวิตอยู่ยาวนานเกือบ 5 ทศวรรษ เจาะจงเกี่ยวกับมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เบอร์นาร์ดได้อยู่ร่วมเป็นประจักษ์พยานต่อหลายเหตุการณ์สำคัญอันเกี่ยวเนื่องกับฉากสถานศึกษาแห่งนี้ ว้าว!
บ่ายวันเกิดสุนทรภู่ (26 มิถุนายน) ปีพุทธศักราช 2559 ขณะสายฝนพร่างพรำ ชายชราชาวอินเดียจากโกรักปูร์วัย 71 ถูกผมสัมภาษณ์เรื่องราวต่างๆ นานาให้ไหลหลั่งพรั่งพรูออกมาไม่แพ้สายฝน เอาล่ะ ผมจะเลือกเฟ้นหยิบยกประเด็นหนึ่งในถ้อยสนทนามาบอกเล่า
ทำไมหนอชาวอินเดียมักจะประกอบอาชีพคนเฝ้ายาม?
คงเห็นชัดว่าอาบังทั้งสองซึ่งผมเอ่ยอ้างถึงไปแล้วล้วนประกอบอาชีพชวนให้ดื่มด่ำบทเพลงหนึ่งของวงดนตรีลาบานูน ฮ้า ฮา ฮ้า ฮา… เบอร์นาร์ดไม่แปลกกว่าอาบังคนอื่นเลย ใครๆ อาจแลเห็นภาพการสวมบทบาทนักขายถั่วตอนกลางวันบริเวณทางประตูมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ฝั่งท่าพระจันทร์และลานโพธิ์ หน้าคณะศิลปศาสตร์ แต่จริงๆ ชายชราจากโกรักปูร์ยังปฏิบัติหน้าที่เฝ้ายามโรงพิมพ์แห่งหนึ่งทางฝั่งธนบุรีตอนกลางคืน
การทำงานเฝ้ายามของชาวอินเดียในเมืองไทยช่างเป็นอะไรน่าตามแกะรอยมิใช่น้อย หากมองผ่านบริบททางประวัติศาสตร์พบว่าชาวอินเดียที่อพยพเข้าสู่ประเทศของเราจะมีกลุ่มของผู้ที่เดินทางมาจากรัฐปัญจาบ (Punjab) ซึ่งยึดอาชีพค้าขายผ้า ส่วนกลุ่มที่ยึดอาชีพเฝ้ายามมักเดินทางมาจากรัฐอุตตรประเทศ โดยเฉพาะโกรักปูร์ (Gorakhpur) ไฟซาบัด (Faizabad) และอซามกาส (Azamgarh) อ้าว! จำได้ไหม ทุกท่านยังจำได้ไหมฮะ บ้านเดิมที่อินเดียของเบอร์นาร์ดก็อยู่เมืองโกรักปูร์นั่นแหละ อีกทั้งแขกอินเดียชาวอุตตรประเทศใช่จะเพิ่งเข้ามาช่วงหลังปีพุทธศักราช 2500 แต่พวกเขาทั้งหลายทยอยเข้าสู่เมืองไทยตั้งแต่ราวทศวรรษ 1930 (พ.ศ. 2473- 2483) นั่นคือช่วงเดียวกับอาบังเฝ้ายามที่ทำการไปรษณีย์โทรศัพท์กลางวัดเลียบและอาบังหน้าประตูสำนักงานหนังสือพิมพ์สุภาพบุรุษประชามิตร
ข้อสงสัยของผมไม่สิ้นสุดง่ายๆ ทำไมเบอร์นาร์ดจึงเลือกจะยึดอาชีพเฝ้ายามอีกงานหนึ่งทั้งๆ ที่ปกติก็ขายถั่วอยู่แล้ว ผมเพียรถามจนรู้ความว่าเนื่องจากที่ผู้เป็นพ่อเคยทำงานนี้มาก่อน กระทั่งปีคริสต์ศักราช 1999 (พุทธศักราช 2542) เมื่อผู้เป็นพ่อเสียชีวิตลง บุตรชายชาวโกรักปูร์เลยรับช่วงสืบทอดหน้าที่แขกยามเรื่อยมา ผมยังอยากทราบอีกว่าพ่อของเบอร์นาร์ดเคยขายถั่วด้วยหรือไม่ บุตรชายพยักหน้า ใช่ เคยขายที่วิทยาลัยนาฏศิลป์
แทบตลอดวันนั่งขายถั่ว ตกกลางคืนนั่งเฝ้ายามให้ยุงตอม ผมอดตั้งคำถามมิได้ว่า"ขายถั่วเสร็จสี่โมงเย็น แล้วไปเฝ้ายามที่โรงพิมพ์ต่อถึงเช้า อย่างนี้จะได้พักผ่อนเหรอ" หลวงถั่วพาณิชย์พูดความจริงอีกเหมือนกัน "นอนวันละสองสามชั่วโมง" ผมมิวายเกิดกังขา ก็ในเมื่อนอนน้อยทุกวันแล้วจะเอาเรี่ยวแรงมาจากไหนกัน ขนาดคนหนุ่มๆ เยี่ยงผมอดนอนแค่คืนสองคืนร่างกายยังอ่อนเปลี้ยเพลียล้า ชะรอยจะมีของดีจริงๆ ผมเลยอ้อนวอนขอเคล็ดลับของเบอร์นาร์ดไปใช้บ้าง เผื่อทีจะได้ปั่นงานระดับ ‘ผู้รู้ราตรีนาน’ ได้ทุกคืน
“กินถั่ว” น้ำเสียงตอบชัดเจน
อยู่ดีๆ ธนบัตรใบละ 20 บาทของผมก็ลิ่วละล่องไปอยู่กับอุ้งมือนักขายถั่วชาวโกรักปูร์ (ฮ่า ฮ่า)
อาบังหรือแขกชาวอินเดียทั้งสามที่ผมแนะนำให้คุณผู้อ่านทำความรู้จักไปแล้ว มองเผินๆ พวกเขามักถูกจัดวางไว้ในสายตาใครต่อใครด้วยสถานะคนเล็กๆ น้อยๆ ของสังคมที่ไม่ค่อยถูกกล่าวถึงมากนักในโฉมหน้าประวัติศาสตร์ แต่ปฏิเสธได้ล่ะหรือว่าชีวิตชีวาของพวกเขามิได้สร้างสีสันชวนตื่นตาตื่นใจ ครับ ผมเองยังคงเหนียวแน่นต่อปณิธานความพากเพียรสืบค้นเรื่องราวของบุคคลเหล่านี้มาให้ทุกท่านได้ยลยินในวาระที่สบโอกาส และจะชื่นใจเหลือหลายทีเดียวถ้าใครอ่านตัวอักษรในงานของผมแล้วผลิยิ้มหวานขึ้นมาอย่างเปรมปรีดิ์
อ้างอิงข้อมูลจาก
เบอร์นาร์ด, ลานโพธิ์ หน้าคณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์, อาชญาสิทธิ์ ศรีสุวรรณ สัมภาษณ์, 26 มิถุนายน 2559 ประเก็บ คล่องตรวจโรค.สารคดีนิยายแห่งชีวิต 50 ปีของข้าพเจ้า. พระนคร: โรงพิมพ์คุรุสภา, 2513 ลาวัณย์ โชตามระ.เงาหลังภาพ. กรุงเทพฯ: โอเดียนสโตร์,2530 อนุสรณ์ในงานพระราชทานเพลิงศพ พันตรีควง อภัยวงศ์ ป.จ.,ม.ป.ช. ,ป.ม. ณ เมรุหน้าพลับพลาอิสริยาภรณ์ วัดเทพศิรินทราวาส วันที่ 13มิถุนายน 2511. พระนคร: โรงพิมพ์ไทยสัมพันธ์, 2511 อินทิรา ซาฮีร์. เครือข่ายพ่อค้าผ้าชาวอินเดียในสังคมไทย ระหว่าง พ.ศ. 2400-2490. วิทยานิพนธ์อักษรศาสตรดุษฎีบัณฑิต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2546 Illustration by Yanin Jomwong
Yut ความเทพของแขกอีกอย่าง ตามทวงหนี้โดยไม่ใช้กำลังไม่มีลูกน้อง ตัวคนเดียวมึงตามเก่งจริงๆ
21 มิ.ย. 2561 เวลา 09.42 น.
อ้วน ได้ยินมาว่าแกเลิกขายไปแล้ว หรือว่ากลับมาขายใหม่อีกรอบคะเนี่ย
21 มิ.ย. 2561 เวลา 14.18 น.
อ้วน จำได้ค่ะ สมัยก่อนซื้อถั่วทองของอาบังคนนี้กินทุกวัน เดี๋ยวนี้แกเลิกขายแล้วนะคะเกษียณแล้ว
21 มิ.ย. 2561 เวลา 14.16 น.
Nutthapong ทุกๆที่เชื่อว่าต้องมีอาบังปล่อยเงินกู้
21 มิ.ย. 2561 เวลา 10.38 น.
แขกตี้5555
21 มิ.ย. 2561 เวลา 10.09 น.
ดูทั้งหมด