จากกรณีที่ บิณฑ์ บรรลือฤทธิ์ ได้เป็นตัวกลางในการเปิดรับบริจาคผ่านทางบัญชีส่วนตัว ซึ่งหลังจากเปิดรับก็มีประชาชนโอนเงินเข้ามาช่วยเหลือผู้ประสบภัยจำนวนมาก
จากกรณีสถานการณ์น้ำท่วมที่เกิดขึ้นที่จังหวัดอุบลราชธานี ทำให้พี่น้องประชาชนได้รับความเดือดร้อนหลายครัวเรือน โดยที่ผ่านมา บิณฑ์ บรรลือฤทธิ์ ได้ประกาศผ่านเพจตนเอง เตรียมเดินทางไปช่วยเหลือและมอบเงินให้แก่พี่น้องชาวอุบล ที่กำลังเผชิญวิกฤตน้ำท่วม เมื่อวันที่ 16ก.ย.62ซึ่งผ่านไปเเค่ไม่กี่วัน ยอดบริจาคพุ่งไปเเตะหลายร้อยล้านล่าสุดเพจเฟซบุ๊ก TaxBugnoms ได้ออกมาโพสต์ข้อความ โดยมีเนื้อหาดังนี้การรับเงินบริจาคแบบพี่บิณฑ์แบบนี้
จะโดนส่งข้อมูลให้พี่สรรพากรไหมครับ?
มีหลายคนถามปัญหานี้เข้ามา พร้อมกับแทคเพจTaxBugnomsให้พรี่หนอมช่วยตอบที ขออนุญาตตอบเป็นความเห็นโดยอ้างอิงตามหลักการกฎหมายดังนี้ครับ1. ถ้าถามว่า จะโดนส่งข้อมูลไหม คำตอบคือ ถ้าเข้าเงื่อนไขที่กฎหมายกำหนดไว้ นั่นคือ ตั้งแต่ 3,000 ครั้ง/ปี ขึ้นไป หรือ 400 ครั้ง/ปี และมียอดเงินตั้งแต่ 2 ล้านบาทขึ้นไป ย่อมจะถูกส่งข้อมูลอยู่แล้วครับดังนั้น ถ้าถามว่ากรณีพี่บิณฑ์ถูกธนาคารส่งข้อมูลให้สรรพากร คำตอบคือ ต้องถูกส่ง และถูกส่งภายในวันที่ 31 มีนาคม 2563 ตามเงื่อนไขของกฎหมาย2. แต่ประเด็นต่อคือ จะถูกประเมินภาษีไหม? คำตอบตรงนี้ต้องแยกก่อนว่า กรณีที่ธนาคารส่งข้อมูลให้กับสรรพากรนั้น ทางสรรพากรเองไม่สามารถประเมินภาษีได้ทันที หรือถ้าจะประเมินจากกรณีนี้ก็ดูเหมือนว่าจะไม่ถูกต้องสักเท่าไร เพราะตัวพี่บิณฑ์เองน่าจะมีหลักฐานการบริจาคที่ชัดเจนให้เห็นอยู่แล้วว่า เงินที่เข้าบัญชีหมด ได้ถูกส่งต่อไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อช่วยเหลือเรื่องน้ำท่วมต่อไปถ้ามองในแง่ของการทำงาน และหลักฐาน โดยส่วนตัวคิดว่าไม่น่าจะมีการประเมินภาษีจากกฎหมายในส่วนนี้ได้ เพราะว่าเงินที่ได้มานั้นมันมีหลักฐานการเข้าออกบัญชีที่พิสูจน์ได้ว่า ไม่ใช่รายได้ของพี่บิณฑ์ แต่เป็นเพียงทางผ่านของเงินไปเพื่อช่วยเหลือผู้ที่ประสบปัญหาดังนั้น กฎหมายฉบับนี้ไม่สามารถเก็บภาษีได้ครับ จากหลักฐานที่ว่ามา และมันเป็นเครื่องยืนยันอย่างนึงให้เราเข้าใจว่า ถ้าหากเรามีหลักฐานการใช้จ่ายเงิน หรือรับเงินที่พิสูจน์ได้ ต่อให้ถูกส่งข้อมูลให้สรรพากรไปจริงๆ ก็ไม่สามารถประเมินภาษีได้3. ถ้าหากจะมองในแง่ของปัญหาด้านภาษีจริงๆ อาจจะไปดูที่เรื่องของ#ภาษีการรับให้น่าจะเป็นไปได้มากกว่า เพราะว่ากรณีนี้มีการได้รับเงินมากกว่า 10 ล้านบาทแน่ๆ และถ้ามองในแง่ของกฎหมาย การให้เงินทั้งหมดนี้ จะถูกตีความว่าเป็นการอุปการะโดยหน้าที่ธรรมจรรยา ให้โดยเสน่หาเนื่องในพิธีหรือตามโอกาสแห่งขนบธรรมเนียมประเพณีจากบุคคลอื่นหรือเปล่า อันนี้ขึ้นอยู่กับว่าทางสรรพากรเองมองไปในทางไหน(เพิ่มเติม) ถ้าให้มองจริงๆ เงินก้อนนี้ควรได้รับสิทธิยกเว้นภาษีเงินได้ที่ได้รับจากการให้โดยเสน่หาที่ผู้ให้แสดงเจตนาใช้เพื่อกิจการสาธารณประโยชน์มากกว่าอย่างไรก็ดี พรี่หนอมคิดว่าเรื่องใหญ่ที่คนในชาติกำลังช่วยเหลือกันแบบนี้ คงไม่มีใครจะมาคิดจัดเก็บภาษีจากเงินก้อนนี้หรอกครับ เพราะเราก็รู้กันดีว่าเงินก้อนนี้ถูกใช้เพื่อช่วยเหลือคนอื่นต่อ ไม่ใช่เพื่อประโยชน์ของตัวเองจริงไหมครับ?โพสนี้ถือว่าแลกเปลี่ยนเป็นความรู้และมุมมองการวิเคราะห์เรื่องภาษีดีกว่าครับ และเป็นการย้ำเตือนว่า บัญชีรายรับรายจ่าย หรือรายการต่างๆในบัญชี เป็นเรื่องที่เราทุกคนควรให้ความสำคัญกับมันครับข้อกฎหมายทีเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้
พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 48)
พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 40)
มาตรา 42(29)
เสียแน่นอน.. เชื่อกู .. ไอ้facebook มันเผนกรมสรรพากรหรือไง มาตอบแบบนี้
ตราบใดที่ สรรพากรยังไม่ตอบคำถามเรื่องเสียภาษี
หมายความว่า คุณบิณ ต้องเสียภาษีครับ
18 ก.ย 2562 เวลา 16.38 น.
Thanapat Suwan 367 ถ้าเรียกเก็บจริง ก้เหี้ยเต็มทนล่ะ #จบ
18 ก.ย 2562 เวลา 14.03 น.
มือไม่พาย เสือกเอาตีนราน้ำไอ้ข้าราชการอัปปีรย์
18 ก.ย 2562 เวลา 11.09 น.
นิหน่า Kor-it 249895 สรรพากรเกี่ยวไร รายได้เกิดจากการช่วยน้ำท่วม ซึ่งเป็นเงินที่ธารน้ำใจของคนไทย ไม่ใช่ทำธุรกิจบ้าปะ
18 ก.ย 2562 เวลา 09.58 น.
ธนวัฒน์ พรรณาขา0576 บ้าไปแล้ว นี่รัฐบาลมันจะเอาให้ได้จริงๆหรา
ค.ว.ย.เถอะครับ เงินช่วยเหลือผู้ประสบภัยมึงยังจะเก็บภาษี
18 ก.ย 2562 เวลา 09.48 น.
ดูทั้งหมด