พระโหยหวนครวญเพลงวังเวงจิต
ให้คนคิดถึงถิ่นถวิลหวัง
ว่าจากเรือนเหมือนนกที่จากรัง
อยู่ข้างหลังก็จะแลชะแง้คอย
เพลงปี่พระอภัยสะกดทัพนางละเวงด้วยกลอนนี้ ท่านสุนทรภู่แต่งไว้ราวเสกมนต์สะกดใจปานกัน ด้วยเป็นบทกลอนสมบูรณ์พร้อมทั้งรูปแบบและเนื้อหา
เพลงปี่ชุดนี้มีสามบท ต่อจากบทต้นอีกสองบท ดังนี้
ถึงยามค่ำย่ำฆ้องจะร้องไห้
ร่ำพิไรรัญจวนหวนละห้อย
โอ้ยามดึกดาวเคลื่อนเดือนก็คล้อย
นำค้างย้อยเย็นฉ่ำชื่นอัมพร
หนาวอารมณ์ลมเรื่อยเฉื่อยเฉื่อยชื่น
ระรวยรื่นรินรินกลิ่นเกสร
แสนสงสารบ้านเรือนเพื่อนที่นอน
จะอาวรณ์อ้างว้างอยู่วังเวง ฯ
งามทั้งความ ทั้งคำและน้ำเสียง
คนรักกลอนอยากแต่งกลอนได้ดีต้องอ่านจนจำได้ให้ขึ้นใจ และต้องศึกษาว่าแต่ละคำ แต่ละวรรคนั้น ท่านสุนทรภู่เสกขึ้นมาด้วยการ “แต่ง” อย่างไร
การศึกษาและวิเคราะห์กาพย์กลอนที่ดีนั้น ผู้รู้บอกว่าไม่พึงทำ คุณหญิงจำนงศรี รัตนิน เคยกล่าวว่า
เหมือนการเด็ดกลีบกุหลาบงามเพื่อจะดูการจัดระเบียบซับซ้อนของแต่ละกลีบว่าเป็นอย่างไร ถึงจะผจงจัดคืนเป็นดอกงามดังเดิมได้เพียงใด ก็ไม่ได้ดังเดิมแล้ว ด้วยกลีบดอกนั้นจะช้ำ
จะลองแกะกลีบกุหลาบกลอนเพลงปี่พระอภัยของท่านสุนทรภู่สามบทนี้ดูนะว่า ทำไมกลอนสามบทนี้จึงงดงามและหอมหวนคงทนอยู่ได้ในทุกสมัย
ไม่ชอกช้ำ
บทกลอนดังเรียกรวมๆ ว่ากลอนแปดตามที่ท่านสุนทรภู่จัดระเบียบไว้นี้ สำคัญยิ่งคือ “เสียงท้ายวรรค” ของทุกวรรค ทั้งสี่วรรค พอจะสรุปได้ดังนี้คือ
เสียงคำท้ายวรรคแรก ใช้ได้ทุกเสียง
เสียงคำท้ายวรรคสอง ห้ามใช้เสียงสามัญกับตรี
เสียงคำท้ายวรรคสาม-สี่ ต้องใช้เสียงสามัญกับตรี
มีห้ามกับต้องอยู่สามวรรคนี้เท่านั้น
เคล็ดวิธีรู้เสียงอักษรนั้นให้ใช้อักษรกลาง เช่น
ก.ไก่ เข้าไปจับ เช่นคำ “แม่ค้า” แม้มีวรรณยุกต์เอก-โทกำกับ แต่ก็ไม่ใช่ตัวกำหนดว่าจะเป็นเสียงเอก-โทตามวรรณยุกต์นั้น
เมื่อเอา ก.ไก่ เข้าไปแทน สะกดตามเสียง ดัง “แม่ค้า” ต้องสะกดว่า “แก้ก๊า” จึงถอดเสียงได้ว่า “แม่” เป็นเสียงโท “ค้า” เป็นเสียงตรี ด้วย ก.ไก่ แทนเสียงด้วยรูปวรรณยุกต์ที่ถูกต้องนั่นเอง
ก.ไก่จึงเป็นกุญแจไขเสียงได้จริง
ที่ว่าคำท้ายวรรคแรกใช้ได้ทุกเสียง ก็มีกลอนท่านสุนทรภู่จากเพลงปี่พระอภัยที่เป่าครั้งแรกให้สามพรามหณ์ฟังอีกเช่นกัน เฉพาะบทนี้ที่ว่า
พระจันทรจรสว่างกลางโพยม
ไม่เทียบโฉมนางงามพี่พรามหณ์เอ๋ย
แม้ได้แก้วและจะค่อยประคองเคย
ถนอมเชยชมโฉมประโลมลาน
คำ “โพยม” เป็นเสียงสามัญ (จำเพาะคำ “โยม”)
กลอนจากเพลงปี่สะกดทัพทั้งสามบท คำท้ายวรรคเป็นเสียงเอก (คำจิต) เสียงโท (คำไห้-คำชื่น)
จึงสรุปว่า คำท้ายวรรคแรกใช้ได้ทุกเสียง
คำท้ายวรรคสองทุกบทไม่มีเสียงสามัญ-ตรีอยู่เลย
จึงสรุปว่าคำท้ายวรรคสองห้ามใช้เสียงสามัญกับตรี
ท้ายวรรคสามสี่ของทั้งสามบทก็มีแต่เสียงสามัญกับตรีเท่านั้นเช่นกัน
จึงสรุปว่าคำท้ายวรรคสามกับสี่นั้นต้องใช้เสียงสามัญกับตรีเท่านั้น
ทีนี้มาดูภายในแต่ละวรรคกลอน ซึ่งกำหนดเป็นสามช่วงจังหวะ เป็นสาม-สอง-สาม หมายถึงช่วงจังหวะ ซึ่งไม่ได้บังคับจำนวนคำตายตัวว่าหมายถึงสามคำ สองคำ สามคำ หากหมายถึงอ่านแล้วกำหนดช่วงได้เป็นสามช่วงในแต่ละวรรคหนึ่งๆ
เช่นวรรคที่ว่า
อยู่ข้างหลังก็จะแลชะแง้คอย
นับจำนวนคำได้เก้าคำ แต่อ่านแล้วก็จะได้เป็นสามช่วงจังหวะคือ
อยู่ข้างหลัง-ก็จะแล-ชะแง้คอย
วิธีกำกับคำให้ได้ช่วงจังหวัดนั้นทำโดยใช้สัมผัสที่เรียกว่า “สัมผัสใน” เป็นหลัก ซึ่งมีทั้งใช้สระและเสียงอักษรจากพยัญชนะ เช่น วรรคแรกนี้คือ
พระโหยหวน-ครวญเพลง-วังเวงจิต
เป็นสัมผัสในด้วยสระล้วนๆ ถ้วนครบ
มีเรื่องเล่าถึงการเล่นคำเล่นความในบทคำสอยของอีสาน เพื่อเสริมเสน่ห์ “สัมผัสใน” ดังนี้
“ผู้สาวซำน่อย บ่ฮู้จักกอนสุภาพ
คันผู้บ่าวมานาบ…อ้อนี่หรือสัมผัสใน”
กลอนท่านสุนทรภู่นั้นเป็นเอกและโดดเด่นก็ด้วยการเล่น “สัมผัสใน” คือสัมผัสภายในวรรคแต่ละวรรคนี่เอง
จะผจงจักและจัดกลีบกุหลาบกลอนของท่านสุนทรภู่โดยพยายามไม่ให้ช้ำ หรือหากจะช้ำก็ขอให้
ยิ่งช้ำยิ่งหอม