ปัจจุบันนี้ภาพลักษณ์ต้องมาเป็นอันดับหนึ่ง ผู้คนเริ่มกังวลมากขึ้นเกี่ยวกับการประกาศให้โลกรู้ว่าชีวิตของฉันมีความสุขนะ ดูสิหรูเริ่ดเชียวล่ะ! และจะต้องสื่อสารออกไปให้คนอื่นได้รับรู้ ไม่สามารถเก็บมันไว้ได้คนเดียวอีกต่อไป
หากสาวน้อยคนหนึ่งซื้อกระโปรงตัวใหม่ก็มีแนวโน้มว่าเธอจะใส่กระโปรงตัวนั้นเพื่อถ่ายรูปลง Facebook แทนที่จะไปปาร์ตี้สนุกกับเพื่อนๆ หรือหากคุณไปเที่ยวบาร์ ผู้คนกว่าครึ่งหนึ่งในนั้นอาจถ่ายรูปลงโทรศัพท์มือถือไปแล้ว พวกเขาจะอวดว่าตัวเองมีความสุขอยู่ท่ามกลางคนแปลกหน้าผ่านช่องทางอินเตอร์เน็ต แต่ในความเป็นจริงแล้วพวกเขาอาจไม่รู้แม้กระทั่งวิธีเข้าไปสนทนากับผู้อื่นเลยด้วยซ้ำ
บอกเลยว่าเพื่อนๆของคุณทุกคนในโลกออนไลน์กำลังขายฝัน พวกเขาจะอัพโหลดแต่ภาพที่เลิศเลอเพอร์เฟคให้เพื่อนๆคนอื่นอิจฉา ดังนั้นภาพทั้งหมดจะสวยเป๊ะทุกองศา ไม่ว่าจะเป็นมุมกล้อง, แสงไฟ และสุดยอดแอพพลิเคชั่นที่จะทำให้คุณดูฟรุ้งฟริ้ง ต้องขอบคุณแสงไฟหรี่สลัวในภัตตาคารสุดหรูที่ทำให้คู่เดทดูสวยกว่าตัวจริงมาก ไม่ใช่เพราะว่ามาตรฐานของเขาต่ำ แต่เพราะคุณรู้ว่าความไม่สมบูรณ์เล็กๆน้อยๆนั้นไม่ใช่จุดจบของโลก อันที่จริงสิ่งเหล่านั้นทำให้เราดูดีซะมากกว่า
แต่แน่นอนว่ามีบางคนที่มีคนรักอยู่แล้ว คนที่คุณมีความสัมพันธ์แบบไร้การเชื่อมต่อทางอินเตอร์เน็ต แต่สำหรับคู่รักส่วนใหญ่ความรักของพวกเขาถือว่ายังไม่ประสบความสำเร็จจนกระทั่งมาอยู่ใน Facebook หากมีคนซื้อดอกไม้ให้คุณเชื่อสิว่าคุณต้องถ่ายรูปและเอาลงในโซเชียลมีเดีย และนั่นแปลว่าคุณจะไม่มีความสุขหากไม่มีคนรับรู้เรื่องนี้งั้นเหรอ? บรรดาคนโสดจะเริ่มรู้สึกไม่พอใจเนื่องจากเหมือนเป็นการย้ำเตือนว่าพวกเขาไร้ความสามารถในการหาคู่ ดังนั้นเราควรปล่อยให้คนเหล่านั้นประเคนของให้กันและกัน แล้วจะไปดื่มด่ำกันต่อที่ปารีสหรือที่ไหนก็เชิญเลยตามสบาย อย่าเก็บเอามาคิดมาก เชื่อสิ!
ไม่ใช่เรื่องยากเลยที่เราจะลืมคนที่ชอบโพสต์แต่ประสบการณ์ดีๆน่าอิจฉาและเก็บเอาแต่เรื่องแย่ๆทั้งหมดไว้เป็นความลับ บางครั้งคุณอาจรู้สึกล้มเหลวในชีวิตเมื่อเห็นรูปอันน่าอภิรมย์ของคนอื่น แต่จริงๆแล้วชีวิตของคนเหล่านั้นอาจไม่ได้เป็นอย่างที่ตาคุณเห็นก็ได้นะ ใครจะรู้?
นอกจากนี้ยังมีคนมองว่าความสำเร็จในชีวิตรักสามารถวัดได้จากจำนวนรูปที่คุณถ่ายคู่กับคนสำคัญ ขณะที่คนที่ไม่เคยโพสต์รูปเลยจะถูกมองว่ามีความสัมพันธ์ที่ล้มเหลวและมีชีวิตคู่ที่ไม่ประสบความสำเร็จ
บางครั้งฉันยังสงสัยว่าคนที่อยากเจอเพื่อน เป็นเพราะเขาคิดถึงเพื่อนจริงๆหรือเพราะเขายังไม่ได้อัพเดทเรื่องราวชีวิตในช่วงหกชั่วโมงที่ผ่านมาและต้องการประกาศให้โลกรู้ว่าเขากำลังมีช่วงเวลาที่สนุกกันแน่ ความจริงคือวัฒนธรรมขี้อวดนี้เกิดจากการที่เรามัวแต่วุ่นวายอยู่กับเปลือกนอกของชีวิต แต่ลืมไปว่าเราควรจะใช้ชีวิตจริงๆให้สนุกจะดีกว่า เชื่อสิประโยคที่ว่า “เฮ้ยจำได้ไหมตอนที่เราถ่ายรูปในรถตั้ง 37 รูปแล้วอัพโหลดลงในเฟซบุ๊คพร้อมกัน” มันไม่ใช่ประสบการณ์ที่น่าจดจำอะไรหรอก มันไม่ได้ยิ่งใหญ่ขนาดนั้นด้วยซ้ำไป
ปัจจุบันชีวิตไม่ต่างอะไรจากการแข่งขันกันเอง และดูเหมือนว่าเราจะไม่สนใจแล้วว่าเรามีเพื่อนในชีวิตจริงมากแค่ไหน แต่ทุกอย่างกลับกลายเป็นขึ้นอยู่กับว่าเรามีผู้ติดตามทาง Twitter เท่าไหร่ มีหลายคนที่ลงรูปในอินสตาแกรมและลบออกในเช้าวันรุ่งขึ้นเพียงเพราะว่าไม่ค่อยมีคนกด Like ซึ่งอาจสะท้อนให้เห็นว่าในชีวิตจริงพวกเขาก็ไม่ได้มีเพื่อนเยอะเช่นกัน
อย่าตกเป็นเหยื่อของโซเชียลมีเดีย มีหลายคนที่แทบไม่เคยได้รับ Like แบบถล่มทลายในอินสตาแกรมแต่ปรากฏว่าในชีวิตจริงพวกเขามีเพื่อนนับไม่ถ้วน ขณะที่บางคนได้ Like เป็นร้อยแต่จริงๆอาจเป็นคนที่เหงาที่สุดในโลกก็เป็นได้
หรือคู่รักบางคู่อาจแทบไม่เคยอัพโหลดรูปของตัวเองลงบนโลกออนไลน์เลย แต่พวกเขากลับมีความสุขล้นเหลือยิ่งกว่าคู่ที่แชร์รูปทุกวันทุกคืนจนล้นหน้ากระดานข่าวของคุณ บางคนที่ไม่เคยอวดอาจผ่อนบ้านหลังแรกไปได้ครึ่งทางแล้ว ขณะที่อีกคนซึ่งถ่ายรูปตัวเองเป็นแขกคนสำคัญในงานปาร์ตี้อยู่บ่อยๆแต่กลับไม่มีสมบัติเป็นของตัวเองสักชิ้นเดียว
ดังนั้นอย่าเชื่อทุกสิ่งที่คุณเห็นในโลกออนไลน์
เนื่องจากมันอาจเป็นการสร้างภาพทั้งสิ้น โปรดใช้วิจารณญาณในการรับชม
justice@cats "จริง.จริง.ไม่อยากจะเม้าท์"...ชอบ..ถูกใจ..ใช่เลย..เย้...
16 พ.ค. 2561 เวลา 14.42 น.
การอวด มันไม่ได้..เลอค่า..อะไร ? นักหนา พอปิดมือถือ..ไม่มีอะไรเหลืออยู่เลย..555
17 พ.ค. 2561 เวลา 04.54 น.
ถึงสังคมจะเปลี่ยนไป ทันสมัยรวดเร็วกว่าเดิม แต่การกระทำเช่นนี้ มันเป็นนิสัยส่วนบุคคลที่ชอบอวด แก้ไม่ได้หรอก
17 พ.ค. 2561 เวลา 04.35 น.
อยู่ในโลกความจริงบ้างครับ
17 พ.ค. 2561 เวลา 03.29 น.
จริงการอวดมากมันเป็นภัยต่อชีวิตและทรัพยสิน.
17 พ.ค. 2561 เวลา 04.23 น.
ดูทั้งหมด