ไลฟ์สไตล์

สิ่งที่นึกขึ้นได้หลังการตายจาก - เพจบันทึกนึกขึ้นได้

TALK TODAY
เผยแพร่ 07 พ.ย. 2562 เวลา 17.00 น. • เพจบันทึกนึกขึ้นได้

คุณพ่อผมเป็นมะเร็งที่ตับ ระยะสุดท้ายเมื่อปลายปี 2560

หลังจากที่ทราบ เราก็พยายามหาวิธียื้อ

โฆษณา - อ่านบทความต่อด้านล่าง

และรักษากันเท่าที่ทางการแพทย์และทางใจจะพาไปกันได้

แต่หลังจากนั้นสามเดือน คุณพ่อของผมก็จากไปอย่างสงบ

นี่ก็ผ่านมาหนึ่งปีแล้ว เป็นหนึ่งปีที่ผมพยายามทำความเข้าใจกับความตาย

โฆษณา - อ่านบทความต่อด้านล่าง

ค้นหาสิ่งที่หลาย ๆ คนไม่ยอมพูดถึง

ว่าเราเรียนรู้อะไรบ้าง เราควรเตรียมตัวเตรียมใจกับสิ่งเหล่านี้บ้างรึเปล่า

และนี่คือสิ่งที่ผมนึกขึ้นได้ หลังจากการสูญเสียคนที่ผมรักมากที่สุดไป

โฆษณา - อ่านบทความต่อด้านล่าง

1.

เราเตรียมพร้อมกับทุกเรื่องในชีวิต เตรียมสอบ

เตรียมร่างกาย เตรียมคิดวางแผนงาน

เราเตรียมตัวในทุก ๆ เรื่องที่จะไปทำ

แต่เราไม่เคยเตรียมพร้อมที่จะพบกับความตาย

เราพยายามหาทุกวิถีทางที่จะทำให้ตัวเองมีชีวิตอยู่นานที่สุดเท่าที่จะมากมายได้

ออกกำลังกาย กินอาหารที่ดี อยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ดี ระมัดระวังตัว

ทุกครั้งที่ความตายคืบคลานเข้ามาใกล้ วันที่เสียงรถพยาบาลวิ่งผ่าน

เราได้แต่ภาวนาให้คนที่อยู่ในนั้นอยู่รอดปลอดภัย

ผมเคยฟัง TED Talk ของ Michele Knox ที่พูดถึงว่า

เราควรพูดถึงความตายในขณะที่เรายังมีชีวิตอย่างสุขภาพดีอยู่

เธอตั้งคำถามว่า เราเคยถามตัวเองมั้ยว่า

ในชีวิตนี้ เราอยากจากไปในรูปแบบไหน

อยากให้คนที่อยู่จำเราได้ในเรื่องอะไร

เมื่อลาจากโลกใบนี้ไปแล้ว ใครควรทำอะไรกับตัวเราบ้าง

ควรเอาเราไปฝังที่ไหน เอาไปปฏิบัติตามประเพณี

หรือเอาสิ่งที่เหลืออยู่ในโปรยและลอยไปในทะเล

ผมถามคำถามนี้กับตัวเอง

เพราะผมไม่เคยถามพ่อของผมเลยว่า จริง ๆ แล้วเค้าอยากจากไปแบบไหน

การจากไปแบบนี้คือสิ่งที่เขาต้องการจริง ๆ รึเปล่า

เมื่อวันสุดท้ายของชีวิตมาถึง

เราได้แต่ร้องขอให้ใครคนหนึ่งที่มารอรับ ให้เวลาเพิ่มขึ้นอีกหน่อย

เพราะเรายังไม่ได้เตรียมใจ

แต่เราก็ไม่เคยเตรียมใจ เพราะบางครั้งเราก็รับไม่ได้กับคำว่า

แล้ววันหนึ่งเราต้องลาจากกัน

ความตายเป็นเรื่องที่ต้องเตรียมตัว

ผมเคยจดไว้ว่า ถ้าผมตาย ผมอยากจัดงานแบบไหน

เปิดเพลงอะไร คนที่มาหาในวันนั้น ควรแต่งตัวแบบไหน

ร่างกายผมที่เหลืออยู่ต้องทำอะไรกับมันบ้าง

สมุดบัญชี ประกัน ผมใส่ชื่อใครไว้ ต้องไปหยิบตรงไหน

มันควรมีลิสแบบนี้พร้อมอยู่เสมอ

เพราะนาทีที่มันเกิดขึ้นจริง ความตื่นตกใจ ความเสียใจ

มันจะทำให้เราทำอะไรไม่ถูก

อีกอย่างคือ ชีวิตหลังความตายของคนที่ยังอยู่

มันมีขั้นตอนเยอะมากเลย

ใครที่พอจะมีประสบการณ์การสูญเสียคนรอบตัวไปแล้วบ้าง

จะรู้ว่ามันมีเรื่องที่ต้องทำหลังจากนั้นเยอะแยะ

ซึ่งถ้าเราเตรียมตัวให้พร้อม คนที่จะต้องมาดูแลให้เรา เขาจะได้ทำตัวถูก

2.

การจากลา ทำให้เราเห็นคุณค่าของคนที่ยังอยู่

มันเป็นบทเรียน ที่บางคนมาคิดได้ก็ตอนที่ใครสักคนตายจากไปแล้ว

ผมเองก็ไม่อยากจะพูดหรอกครับว่า ผมดูแลแม่ดีขึ้นกว่าเดิมมาก

หลังจากที่พ่อจากไป จากเด็กที่เอาแต่ทำงาน ทำสิ่งที่ตัวเองรัก

ดูตัวเองมากกว่าหันไปดูแลแม่

ไม่รู้สิ ผมมักจะคิดว่า แม่ของผมอายุเท่าเดิม

ทั้ง ๆ ที่เค้าแก่ลงทุกปี

เวลาที่ไม่ได้เจอแม่นาน ๆ แล้วมาสังเกตเค้าดูดี ๆ

มือเค้า ผิวเค้า มันเปลี่ยนไป

รอยยิ้มมันเหมือนเดิมแหละ แต่กายภาพมันก็เปลี่ยน

แม่ป่วยบ่อยขึ้น แม่เริ่มขี้หลงขี้ลืม

แต่ส่วนใหญ่แม่จะไม่ลืมที่จะทักมาหาว่า เมื่อไหร่จะแวะมาหา

เราควรดูแลรักษา คนสำคัญ คนที่อยู่ตรงหน้าเราให้ดีที่สุดใช่มั้ย

ผมไม่ได้หมายถึง คุณพ่อ คุณแม่อย่างเดียว

ผมหมายถึง เพื่อน คนรัก หรือใครก็ตามที่เขาสำคัญกับชีวิตคุณ

ผมเวลาทะเลาะกับแม่ หรือคนที่ผมแคร์

ผมจะใช้เวลางอนน้อยมาก เอาละ อย่างน้อยต้องไม่เกินวันนึง

แล้วต้องรีบกลับมาเป็นปกติให้เร็วที่สุด

เพราะถ้าต้องจากกัน ในวันที่ยังไม่เข้าใจ

ผมว่ามันเศร้ามาก ๆ เลย

3.

เราเลือกได้ ว่าเราจะอยู่กับอะไร หลังจากที่ใครสักคนจากเราไป

มันจะมีช่วงนึงตอนที่พ่อเพิ่งไปใหม่ ๆ ผมจะสับสนอยู่ตลอดว่า

สรุปตายจริงมั้ย หรือฝันไป

ทำไมถึงตัดใจเชื่อไม่ได้สักทีว่า ที่เพิ่งผ่านไป มันคือความจริง

แต่ก็ไม่ได้ถึงกับเศร้า ร้องไห้ฟูมฟาย

มันก็มีอาการของความคิดถึงบ้าง

คุณอาจจะสงสัยนะ ทำไมไม่เศร้าละ ไม่สนิทกันหรอ

สนิท แต่เอาเข้าจริง ๆ ผมค่อนข้างเตรียมใจไว้มาก ตั้งแต่รู้แล้ว

เพียงแค่มันเป็นครั้งแรกของผม (ใช่สิ พ่อใครจะตายกันหลาย ๆครั้ง)

มันเลยยังรับมือกับมันได้ไม่มาก

แต่บางคนที่ผมเห็นก็ใช้เวลาฟื้นฟูตัวเองนานพอสมควร

อันนี้ขึ้นอยู่กับสภาพจิตใจด้วย

มันใช้เวลานะ สำหรับการยอมรับความจริงว่าใครสักคนได้หายไปจากโลกนี้แล้ว

แต่สิ่งที่หนึ่งที่ผมคิดคือ เราเลือกได้

ว่าจะเศร้าต่อ หรือเดินหน้าดูแลตัวเอง ดูแลคนที่ยังอยู่ให้ดีที่สุดต่อไป

หลายคนชอบคิดว่าเราเลือกไม่ได้

เราเลือกไม่ได้ที่จะไม่เจอความตาย

แต่เราเลือกได้ว่าเราจะอยู่ต่อไปอย่างไรหลังที่เขาจากเราไปแล้ว

4.

พอรู้ว่าสักวันนึงมันต้องเป็นเรา ทุกวันที่ผ่านไป เราเลยอยากใช้มันให้เต็มที่ที่สุด

แต่ก่อน ทุกครั้งที่ถึงวันเกิด ผมจะคิดเสมอเลยนะว่า ดีใจวะ โตขึ้นไปอีกปีแล้ว

แต่พออายุย่างเข้าเลขสาม เมื่อถึงวันเกิด ก็เริ่มที่จะคิดว่า มีเวลาเหลือน้อยลงไปอีกปี

ทีนี้ไอ้สิ่งที่ยังอยากจะทำ แต่ไม่เคยได้ลงมือทำสักที ก็ต้องหาเวลาทำมัน

สนองความต้องการตัวเอง ก็ยังมีความกลัวอยู่ว่า ถ้าวันนึงตายไปไม่ได้ทำ

จะเสียดายมั้ย นี่จะเกิดมาแล้วได้แต่คิดว่าอยากทำนู่น ทำนี่ แต่ไม่ได้ลงมือทำอะไรสักที

แล้วก็ตายไปเฉย ๆ หรือเนี่ย

พูดเหมือนตลกนะ แต่ถ้าคิดดีๆ ถ้าเราโฟกัสถึงเวลาที่เรามีอยู่จริงๆ ในโลกนี้

กับสิ่งที่เราควรจะทำ หรือพัฒนาตัวเองต่อไป มันอาจกลายเป็นเรามีเวลาน้อยมากๆ เลยก็ว่าได้

มันมีเวปไซต์นึงสมัยผมเรียนอยู่มัธยม

ที่ถ้าเราใส่วันเดือนปีเกิดลงไป แล้วมันจะคำนวนวันตายมาให้เรา

แบบที่ พอ มันบอกปุ๊ป ก็มีนาฬิกานับถอยให้ขึ้นมาให้เลย

ตอนนั้นก็สนุกดีนะ ตอนเล่นกับเพื่อน แบบ เออ มึงตายก่อนกู

กูยังเหลือเวลาอีกนานเลยว่าจะตาย

แต่ถ้าคิดดีๆ นี่เราต้องรู้ก่อนหรอว่าเราจะตายเมื่อไหร่

เราถึงจะเริ่มทำอะไรให้ตัวเองสักที เริ่มที่จะบอกใครรัก

เริ่มที่จะขอบคุณ เริ่มที่จะขอโทษ เริ่มที่จะรักษาความสัมพันธ์ให้ดี

แต่จริงๆ มันต้องรอให้รู้ถึงวันสุดท้าย ก่อนรึเเปล่า

เราถึงจะรู้สึกว่าเราควรจะทำอะไรต่อไป

5.

อย่ากลัวที่จะตายจากไป แต่จงกลัวที่จะอยู่แบบที่ตายจากข้างในดีกว่า

ฟังดูเหมือนค่อย ๆ ไกลออกจากเรื่องความตายนะ

แต่จริง ๆ ผมคิดว่า การอยู่แบบที่รู้สึกว่า ตายไปแล้ว มันหลอนกว่าการตายจากไปซะอีก

หลังจากที่พ่อผมจากผม ผมรู้สึกว่าตัวเองมีค่ามากๆ สำหรับการอยู่

ผมมีคนต้องดูแล ผมมีสิ่งที่ผมอยากจะทำ มีสิ่งที่ผมอยากไปเจอ ไปค้นหา

ถ้าเรารู้ว่า ทุกวันนี้เราอยู่ไปเพื่ออะไร อยู่ไปเพื่อใคร

ทีทำอยู่ทุกวัน ที่ลำบากกัน สุดท้ายแล้ว ความสุขที่จะเกิดขึ้น ทำให้คนที่เรารัก

สัมผัสมันได้รึเปล่า

การได้รู้ว่าเรามีชีวิตอยู่ไปทำไม กับการรู้ว่าเราจะตายไปเมื่อไหร่

บางทีก็สำคัญพอๆ กัน

หาเหตุผลของการมีชีวิตอยู่ของตัวเองเถอะ

เพราะถ้าเราหามันเจอแล้ว

เมื่อวันที่ความตายมาถึง

ผมว่าเราจะยอมรับมัน

เพราะทุก ๆ วันที่ผ่านไป

เราได้เก็บทุกอย่างใส่เป้

พร้อมสำหรับการเกิดเดินทางครั้งใหม่

ที่ไม่มีใครเคยกลับมาเล่าให้ฟังมาก่อน

ความเห็น 15
  • lalita .t
    หลังจากที่สูญเสียแม่และพ่อไป ทำให้เรารู้สึกว่าทุกๆปัญหา มันกลายเป็นเรื่องเล็กๆไปเลย แน่นอน!! การสูญเสียมันทำให้เราเติบโตขึ้น!! ทำให้เรารู้จักวางแผน และ ระมัดระวังการใช้ชีวิตมากขึ้น เพราะท้ายที่สุดแล้ว “คนเราทุกคนก็ไปเมื่อถึงเวลาของมัน” ตอนนี้!! ใช้ชีวิตและเวลาที่เหลืออยู่กับการสะสมความดี พยายามแก้ไขและปรับปรุงข้อบกพร่องที่เราเคยมองข้าม ทำงานเก็บเงินไว้ใช้ยามแก่เฒ่า ตอนนี้ก็ใช้บ้าง ทำบุญบ้าง ช่วยเหลือคนอื่นบ้าง เท่าที่เราจะช่วยได้ บั้นปลายชีวิตก็อยากใช้ชีวิตที่เหลืออยู่กับสถานที่ปฏิบัติธรร
    08 พ.ย. 2562 เวลา 03.29 น.
  • tae
    ขอบคุณสำหรับข้อความเเละข้อคิดดีๆครับเพราะทุกคนต้องตายเเละตายเเน่นอนตายทุกคนเเต่เมื่อถึงวันนั้นคนที่จะจัดการต่อคือคนที่อยุ่คนที่ตายไปย่อมทำอะไรไม่ได้ควรพูดควรจัดการตั้งเเต่ยังมีชีวิตอยุ่ว่าเมื่อตายเเล้วจะทำอย่างไรบ้างขอบคุณสำหรับข้อความดีๆครับ
    08 พ.ย. 2562 เวลา 03.01 น.
  • Tickety-Boo!!!🐈
    แม่ชี​ศันสนีย์​ เคยกล่าวไว้ว่า..ความตาย​ คือ​ แบบฝึกหัดของชีวิต. ชีวิตไม่ใช่ของเรา​ ไม่มีใครเป็นของเรา​ เมื่อถึงเวลา​ ทุกคนต้องตาย. การจากพราก..ไม่ว่าที่สุด​ คุณจะยอมรับได้หรือไม่ก็ตาม..แต่มันคือความจริง.​ ความจริงที่จะทำให้คุณหยั่งรากชีวิตและก้าวเดินต่อไป. ................สาธุ...................
    08 พ.ย. 2562 เวลา 02.06 น.
  • ความดีคือสิ่งที่จะทำให้ผู้คนได้ระลึกนึกถึงอยู่ตลอดไป.
    08 พ.ย. 2562 เวลา 02.18 น.
  • เขม
    เอาจริงๆ คุณทำไม่ได้อย่างเขียนหรอก มนุษย์เรา มีบางอย่างฝังไว้ในหัว 1.ความโลภ ต่อให้คุณคิดกลับตัวว่าคุณจะให้ จะเผื่อแผ่พอถึงเวลาความเสียดายก็ยังมีอยู่ในใจคุณ 2.ความโกรธ อันนี้ไม่ต้องอธิบายมันทำงานทุกวินาที แค่ขับรถปาดกันก็ลงมาฆ่ากันแล้ว 3.ความหลง คือสิ่งที่คุณเขียนมาทั้งหมดนั่นบะ เป็นความหลง ในในความตาย หลงในชีวิต คุณเลยคิดว่าเอ้ฉันต้องวางแผน คือหลงว่าวางแผนไว้พอตายจะได้สมใจ จริงความตายเป็นธรรมดา ไม่ต้องวางแผนอะไร เมื่อตายแล้วตัวเองยังพาตัวเองไปใหนไม่ได้
    08 พ.ย. 2562 เวลา 07.28 น.
ดูทั้งหมด