สถาบันกวดวิชาแข่งเดือด หลังจากยอดนักเรียนลดลงกว่า 50% จากสาขาที่เพิ่มขึ้นและกระจายเปิดในต่างจังหวัด งัดไม้เด็ดลดค่าเรียน กรณีจ่ายทั้งคอร์สตั้งแต่ 20-50% ใช้ครูชื่อดังมาสอน ด้าน “เอ็นคอนเส็ปท์” เผยเทคโนโลยีเปลี่ยน ทำเด็กเลือกเรียนผ่านออนไลน์-มุ่งเข้าเรียนภาคอินเตอร์มากขึ้น
ธุรกิจสถาบันกวดวิชาฮอตฮิตอย่างมากในช่วงที่ผ่านมา จากความต้องการของผู้เรียนที่ต้องการเรียนเสริม หรือบางคนต้องการสอบเข้าในมหาวิทยาลัยดัง หรือเพื่อเรียนต่อต่างประเทศ เป็นต้น มีการขยายสาขาเพิ่มเติมทั้งในกรุงเทพฯ-ปริมณทล รวมถึงในจังหวัดใกล้เคียงเพื่อความสะดวกและไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการเดินทาง แต่ด้วยภาวะเศรษฐกิจและการแข่งขันสูง ทำให้ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ธุรกิจโรงเรียนกวดวิชามีจำนวนเข้าเรียนน้อยลงมาก บางโรงเรียนลดลงมากกว่า 50% ฉะนั้น โจทย์สำคัญของสถาบันกวดวิชาในขณะนี้ คือ ต้องมุ่งรักษาฐานลูกค้าที่มีอยู่ให้เรียนต่อเนื่อง
ผู้สื่อข่าว “ประชาชาติธุรกิจ” ลงพื้นที่สำรวจ 3 จุดหลักที่เป็นศูนย์รวมของสถาบันกวดวิชา คือ ห้างสรรพสินค้าฟิวเจอร์พาร์ค รังสิต กับอาคารวรรณสรณ์ (พญาไท) และสยามสแควร์ ปรากฏทั้ง 3 พื้นที่จะมีโซนที่กำหนดให้เป็นสถาบันกวดวิชาทั้งชั้น โดยในแต่ละแห่งมีสถาบันกวดวิชาประมาณ 50-100 สถาบัน จากการสอบถามพนักงานของแต่ละสถาบันได้ให้ข้อมูลไปในทิศทางเดียวกันว่า ขณะนี้จำนวนนักเรียนลดลงกว่า 50% โดยนักเรียนที่ยังซื้อคอร์สเรียนต่อนั้น เนื่องจากเป็นลูกค้ามานาน ชอบสไตล์การสอนที่ตอบโจทย์ความต้องการได้ เมื่อประเมินในเบื้องต้นพบว่า จากเดิมที่ไม่ว่าจะเป็นช่วงปิด-เปิดเทอมจะมีนักเรียนเข้ามาซื้อคอร์สค่อนข้างมาก แต่ปัจจุบันจะคึกคักในช่วงปิดเทอม ยกเว้นสถาบันกวดวิชาที่ค่อนข้างมีชื่อเสียง ไม่ได้รับผลกระทบมากนัก
สาเหตุสำคัญที่ทำให้จำนวนนักเรียนน้อยลงก็คือ การชะลอตัวของเศรษฐกิจ, อัตราการเกิดของประชากรน้อยลง, การแข่งขันสูง, การมีสถาบันกวดวิชารายใหม่เข้ามาในตลาดนี้มากขึ้น ประกอบกับหลายสถาบันได้ขยายสาขาหรือขายแฟรนไชส์ให้กับลูกค้าที่สนใจ ซึ่งส่วนใหญ่ต้องการขยายไปยังพื้นที่จังหวัดที่ติดกับกรุงเทพมหานคร เช่น จังหวัดสระบุรี และนครนายก ทำให้นักเรียนที่เรียนในสาขาฟิวเจอร์พาร์คเลือกลงเรียนในต่างจังหวัด เพื่อลดค่าใช้จ่ายในการเดินทาง
นอกจากนี้ สถาบันกวดวิชาหลายแห่งยังเลือกใช้วิธีการ “จูงใจ” นักเรียนให้เข้ามาเรียนกับตน หนีการแข่งขันที่สูงขึ้น อาทิ การปรับลดราคาคอร์สเรียนลดลงมากกว่า 50% โดยเฉพาะในกรณีที่จ่ายสดครบคอร์สก็จะบวก “ส่วนลด” เพิ่มให้อีก และสามารถทยอยจ่ายค่าเรียนและเลือกจ่ายค่าเรียนตามจริงได้, การใช้ครูชื่อดัง เช่น ครูอุ๊ (เชี่ยวชาญด้านเคมี) ครูซุปเค (เชี่ยวชาญด้านคณิตศาสตร์) และครูที่มาจากมหาวิทยาลัยท็อปไฟฟ์เท่านั้น อย่างเช่น จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มาเป็นจุดขาย, พยายามให้วิชาที่เปิดสอนมีความหลากหลายมากขึ้น, เพิ่มการสอนแบบติวเข้มในวิชาเฉพาะทางที่ต้องการสอบเข้า เช่น แพทย์ หรือเตรียมตัวแข่งในเวทีวิชาการ อย่างเช่น คณิตศาสตร์โอลิมปิก, ให้นักเรียนเลือกสาขาที่สะดวกเดินทางได้ด้วย และมีระบบเช็กการเข้า-ออกเพื่อให้ผู้ปกครองได้ตรวจสอบการเข้าเรียนของนักเรียนได้
อย่างไรก็ตาม วิธีการสอนที่นับเป็นจุดแข็งที่ทำให้นักเรียนสนใจเข้ามาเรียนกับสถาบัน ยังคงเป็นการเรียนสดกับครูผู้สอน เรียนผ่านวิดีโอที่สามารถนำกลับไปเรียนที่บ้าน หรือเรียนกับคอมพิวเตอร์ที่จัดไว้ให้ในชั้นเรียนในแต่ละสาขา แต่นักเรียนส่วนใหญ่ต้องการเรียนสดกับครูเพื่อถามในข้อสงสัยได้ทันที
นายแพทย์ธรรมศักดิ์ เอื้ออภิธร ผู้จัดการทั่วไป โรงเรียนสอนภาษาอังกฤษเอ็นคอนเส็ปท์ กล่าวว่า การพัฒนาของเทคโนโลยีอย่างรวดเร็วทำให้ภาพการเรียนการสอนเปลี่ยนไป คือ นักเรียนหันมาใช้วิธีเรียนผ่านออนไลน์มากกว่าเรียนในชั้นเรียน รวมถึงค่านิยมของนักเรียน-นักศึกษาที่ต้องการเข้าเรียนภาคอินเตอร์มากขึ้น ทั้งที่เรียนในไทยและไปเรียนในต่างประเทศ ทั้ง 2 ส่วนนี้มีอัตราค่อนข้างสูง ทำให้สถาบันกวดวิชาได้รับผลกระทบไปด้วย และคาดว่าจะมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง นอกจากนี้ ยังมีนักเรียนที่เลือกใช้วิธีติวเตอร์แบบตัวต่อตัวก็มีแนวโน้มขยายตัวเช่นกัน ซึ่งผู้ประกอบการสถาบันกวดวิชาจะต้องปรับตัวเพื่อให้อยู่รอดในธุรกิจนี้
“เฉพาะที่ย้ายไปเรียนออนไลน์ของเอ็นคอนเส็ปท์น่าจะอยู่ที่ 20-30% ได้ การเรียนแบบเดิมจึงต้องลดลงเป็นเรื่องปกติ เราได้เห็น S-curve ของสถาบันกวดวิชามาแล้วหลายปี จนกระทั่งเกิดรูปแบบใหม่ ๆ เกิดขึ้นที่มาช่วยเพิ่มการเรียนการสอนให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น รวมถึงจากเดิมที่ครูเป็นเสมือนแบรนด์ของสถาบัน
ก็จะเปลี่ยนไป เพราะในยุคนี้นักเรียนไม่ได้สนใจชื่อเสียงของครู แต่สนใจในการใช้รูปแบบการเรียนที่ตอบโจทย์มากกว่า” นายแพทย์ธรรมศักดิ์กล่าว
ในแง่ของการแข่งขันในธุรกิจสถาบันกวดวิชาในปีนี้ น่าจะ “ลดความรุนแรงลงด้วย” เนื่องจากระบบการสอบเข้ามหาวิทยาลัยในปัจจุบันทำให้การแข่งขันน้อยลง ฉะนั้น การเรียนในสถาบันกวดวิชาเพิ่มจึงมีความจำเป็นน้อยลงด้วย นอกจากนี้ ยังรวมถึงค่านิยมในการเลือกคณะเรียนในระดับมหาวิทยาลัย จากเดิมที่คณะวิศวกรรมฯ และคณะแพทย์ ได้รับความนิยมอย่างมาก แต่ปัจจุบันการสอบเข้าคณะวิศวกรรมฯง่ายขึ้น จึงไม่จำเป็นต้องเพิ่มการเรียนกวดวิชาได้เช่นกัน
ไม่พลาดข่าวสารเศรษฐกิจ เจาะลึกทุกประเด็นทั้งภาครัฐ-เอกชน เพิ่มเราเป็นเพื่อนที่ Line ได้เลยพิมพ์ @prachachat หรือ คลิกลิงก์ https://line.me/R/ti/p/@prachachat
หรือจะสแกน QR Code ในรูป เราพร้อมเสิร์ฟข่าวเศรษฐกิจ-ธุรกิจถึงมือผู้อ่านทันที!
ถ้าตั้งใจสอนในห้องเรียนก็ไม่ต้องเสียเงินไปติว
ถ้าสอนอย่างไหรสอบอย่างนั้นก็ไม่ต้องเสียเงินไปติว
ถ้าให้โอกาสเด็กได้มีเวลาหาความถนัดของตัวเองก็ไม่ต้องไปติว
20 เม.ย. 2562 เวลา 04.40 น.
Mng(JP) สมัยก่อนการเรียนพิเศษหรือกวดวิชาจะมุ่งสอนเพิ่มเติมให้กับเด็กที่เรียนอ่อนเรียนไม่ทันเพื่อน คือเรียนในชั่วโมงไม่เข้าใจอีกนัยหนึ่งคือเด็กโง่นั่นแหละ ครูเลยต้องหาเวลาสอนและอธิบายเพิ่มเติมให้ จะได้ตามเพื่อนทัน แต่สมัยนี้มันกลายเป็นธุรกิจหลายพันล้าน เป็นแหล่งทำมาหากินที่ไม่เสียภาษี ทั้งเด็กเก่งเด็กโง่ตกเป็นเหยื่อด้วยความสมัครใจ มือใครยาวสาวได้สาวเอานะ
20 เม.ย. 2562 เวลา 05.43 น.
JP เรียนลัดเกิน ทุกวันนี้เลยขาดตรรกะทางความคิด
20 เม.ย. 2562 เวลา 04.36 น.
ไปดูสิ คนเป็นหนี้ กยศ.เท่าไหร่ จบมาไม่มีงานทำ เงินก็น้อย เศรษฐกิจก็ไม่ดี แล้วประเทศจะพัฒนาได้อย่างไร
20 เม.ย. 2562 เวลา 06.58 น.
som เอาห่าไรไปกวดละทีนี้กินยังจะไม่พอเลยประชาชนจะอดตายห่าอยู่แล้วไหนจะค่ารถเมขึ้นค่าไฟขึ้นหาแดกไม่เก่งรัฐบาลชุดนี้แต่ขูดรีดเก่ง
20 เม.ย. 2562 เวลา 04.59 น.
ดูทั้งหมด