มีคำกล่าวว่า โควิดไม่ได้แค่สร้างปัญหาใหม่ๆ ให้เกิดขึ้น แต่ยังรวมถึงไปการขุดปัญหาเดิมที่เคยถูกซุกไว้ใต้พรมให้โผล่ขึ้นมาเด่นชัดยิ่งกว่าที่เคยเป็น – ปัญหาเรื่องการศึกษาไทยก็เช่นกัน
อย่างที่เรารู้กันว่า กระทรวงศึกษาธิการตัดสินใจเลื่อนวันเปิดเทอมไปเป็นวันที่ 1 ก.ค.นี้ พร้อมทดลองจัดการเรียนการสอนทางไกล (distance learning) ในกรณีที่นักเรียนไม่สามารถไปที่โรงเรียนได้ ด้วยการนำเนื้อหาจากมูลนิธิการศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียม (DLTV) มาฉายทางโทรทัศน์ 17 ช่อง สำหรับนักเรียน ป.1-ม.6 อาชีวศึกษา และ กศน.
ผลการทดลองก็เป็นอย่างที่หลายฝ่ายคาดหมายไว้ล่วงหน้า คือแสดงให้เห็นถึงความไม่พร้อมต่างๆ นานา ทั้งเรื่องความเหลื่อมล้ำ นักเรียนจำนวนมากไม่มีอุปกรณ์ ผู้ปกครองไม่มีเวลาเพียงพอมาช่วยลูกหลานเรียน เนื้อหาที่นำมาสอนบางส่วนถูกติติงว่าผิดพลาด-วิธีการไม่น่าสนใจ ไปจนถึงการประเมินสถานการณ์ผิดจากกระทรวงศึกษาธิการเอง
ณัฎฐพล ทีปสุวรรณ รมว.ศึกษาธิการ เคยบอกกับ The MATTER ว่า เดิมเข้าตั้งใจจะใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการเรียนการสอนอยู่แล้ว แต่วิกฤตโควิดเป็นตัว 'เร่งปฏิกิริยา' ให้เกิดเร็วขึ้นเท่านั้นเอง
อย่างไรก็ตาม ด้วยวิกฤตโควิดที่เริ่มคลี่คลาย ทำให้เริ่มมีเสียงเรียกร้องให้เปิดเทอมเร็วขึ้น และกลับไปเรียนสอนที่โรงเรียนจะดีกว่า
ขณะที่ตัว รมว.ศึกษาธิการก็เริ่มออกมาเปรยแล้วว่า การเรียนการสอนทางไกลจะใช้กับเด็ก ม.4-6 เท่านั้น ไม่ได้ใช้ในทุกระดับ และเชื่อว่า 80% จะกลับไปโรงเรียนได้ โดยอาจใช้การรักษาความสะอาด เว้นระยะห่าง และให้ผลัดเวรกันมาเรียนครั้งละ 20 คน/ห้องเรียน
คำถามก็คือ หากวิกฤตจบลงแล้ว การใช้เทคโนโลยีมาช่วยในการเรียนการสอนยังจะถูกใช้ต่อไปหรือไม่ (ไม่ใช่แค่การเปิดเทปจาก DLTV ให้ดู แต่ยังรวมไปถึงการใช้เครื่องมือต่างๆ ที่ถูกตระเตรียมไว้มากมาย โดยเฉพาะในรูปแบบออนไลน์)
ที่สุดแล้วการศึกษาไทยจะถูกวิกฤตโควิดกดดันให้ก้าวเข้าสู่ ‘ความปรกติใหม่’ หรือ new normal หรือไม่
เรียนทางไกลจะยังไม่ใช่ new normal?
หนึ่งในปัญหาที่สะท้อนออกมาชัดเจน ผ่านการทดลองเรียนทางไกลของกระทรวงศึกษาธิการ คือเรื่อง ‘ความเหลื่อมล้ำ’ เพราะขนาดผู้เกี่ยวข้องเลือกสื่อสารผ่านสื่อโทรทัศน์ที่คาดว่าจะมีอยู่เกือบทุกครัวเรือนก็ยังเจอปัญหาใหม่ๆ เช่น กล่องรับสัญญาณไม่ได้ หนึ่งบ้านมีทีวีเครื่องเดียวแต่มีเด็กนักเรียนหลายคน พ่อแม่หาเช้ากินค่ำต้องไปทำงานไม่สะดวกอยู่ช่วยลูกเรียน ไปจนกระทั่งบางบ้านไม่มีโทรทัศน์ – นี่คือปัญหาที่มีอยู่จริง ถูกพูดถึงบ่อย และถูกย้ำอีกครั้งในวิกฤตรอบล่าสุด
อีกสิ่งที่เพิ่งพบก็คือ พฤติกรรมคนดูทีวีน้อยลง เด็กนักเรียนจำนวนไม่น้อยไปดูการเรียนการสอนผ่านออนไลน์จนเว็บไซต์ล่ม ซึ่งแน่นอนว่า หากจะเรียนผ่านออนไลน์ตลอดเวลา ปัญหาที่จะตามมาคือค่าใช้จ่ายด้านอินเทอร์เน็ต
ณิชา พิทยาพงศกร จากสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) มองว่า การเรียนทางไกล ไม่ว่าจะผ่านโทรทัศน์หรือออนไลน์อาจไม่ใช่คำตอบสำหรับการศึกษาไทยในระยะเวลาอันใกล้ เพราะถ้าจะจัดการเรียนการสอนลักษณะนี้ให้มีประสิทธิภาพ จะต้องพึ่งพาปัจจัยหลายด้าน ทั้งด้านเทคโนโลยี ครู พ่อแม่ และเด็กๆ นอกจากนี้ ยังต้องใช้ต้นทุนที่สูงมาก ทั้งค่าอินเทอร์เน็ต ค่าอาหารกลางวัน ค่าเสียโอกาสที่พ่อแม่จะต้องมาช่วยดูแลลูกๆ ฯลฯ
ขณะที่กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) ได้ประเมินว่า การสนับสนุนอุปกรณ์สำหรับเรียนทางไกลให้ได้ผลสำหรับทุกๆ คน โดยเฉพาะนักเรียนในกลุ่มยากจนพิเศษกว่า 700,000 คน ทั่วประเทศ รัฐอาจต้องใช้เงินกว่า 7,000 ล้านบาท
เมื่อพิจารณาจากทั้งปัจจัย ต้นทุน และงบประมาณแล้ว การเรียนทางไกลจึงน่าจะยังห่างไกลจากการเป็น new normal ของการศึกษาไทย
แต่ถามว่า การทดลองเรียนทางไกลนี้ล้มเหลวโดยสิ้นเชิง ไม่ทิ้งอะไรไว้ให้กับระบบการศึกษาไทยเลยหรือ - คำตอบคงไม่ใช่
EdTech กับการพัฒนาการศึกษา
ในช่วงวิกฤตโควิดที่ทำให้สถาบันการศึกษาต้องปิดตัวลงชั่วคราว หลายคนพูดถึง ‘เทคโนโลยีเพื่อการศึกษา’ หรือ EdTech (ตัวย่อของ educational technology) ว่าจะมาช่วยแก้ไขปัญหาในช่วงเวลาที่นักเรียนกับครู/อาจารย์ต้องอยู่ห่างกัน
ความจริงหลายๆ มหาวิทยาลัยในไทย รวมถึงบางโรงเรียน ก็นำโปรแกรมหรือแอพพลิเคชั่น EdTech มาใช้ในการจัดการเรียนการสอนบ้างแล้ว อย่าง ZOOM, Google Classroom, Microsoft Teams เป็นต้น และความจริงแล้ว การที่กระทรวงศึกษาธิการใช้ DLTV มาช่วยก็ถือเป็นการใช้ EdTech มาเป็นตัวช่วยเช่นกัน แม้จะยังผ่านสื่อดั้งเดิมอย่างทีวี ไม่ใช่สื่อออนไลน์ที่ได้รับความนิยมกว่าในปัจจุบันก็ตาม
อย่างไรก็ตาม EdTech สำหรับการศึกษา ไม่ได้หมายรวมถึงแค่เทคโนโลยีที่ใช้สำหรับให้นักเรียนเจอกับครู/อาจารย์เท่านั้น ยังรวมถึงเทคโนโลยีที่ช่วยจัดการการศึกษาด้านอื่นๆ ด้วย เช่น ประเมินผล สอบ พัฒนาความสามารถครู ประชุม ฯลฯ
TDRI ได้จัดกลุ่ม EdTech ออนไลน์ไว้เป็น 3 กลุ่มใหญ่ๆ ได้แก่ แพล็ตฟอร์มและซอฟต์แวร์ แหล่งรวมเนื้อหา และแหล่งรวมความรู้สำหรับครู ขณะที่องค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ หรือ UNESCO ซอยย่อยไปกว่านั้นอีก เป็น 8-9 กลุ่มด้วยกัน มีเครื่องมือให้เลือกใช้นับร้อย ตามวัตถุประสงค์ในการใช้งานเพื่อการศึกษา
ที่ไล่เรียงมาข้างต้น เพื่อแสดงให้เห็นว่า ในปัจจุบัน มี EdTech รองรับสำหรับพัฒนาการศึกษาอยู่อย่างมากมาย ที่แม้ว่าการเรียนทางไกลซึ่งกระทรวงศึกษาธิการกำลังทดลองอยู่ จะถูกมองโดยบางฝ่ายว่า "ยังไม่น่าจะกลายเป็น new normal ของการศึกษาไทยในระยะเวลาอันใกล้"
แต่สิ่งที่หลายฝ่ายที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาจะได้จากวิกฤตนี้ คือการบีบให้ต้องทดลองใช้เครื่องมือใหม่ๆ โดยเฉพาะสารพัด EdTech ที่มีคนพัฒนาเอาไว้แล้วมาใช้ในการศึกษา ได้ออกจากเซฟโซนการใช้เครื่องมือเดิมๆ ที่คุ้นชินในการเรียนการสอน ซึ่งการมี ‘ประสบการณ์’ ลองของใหม่ และรู้ว่ายังมีตัวเลือกอื่นๆ ให้ทดลองใช้ได้ สิ่งนี้ อาจเป็นประโยชน์ต่อการแก้ไขปัญหาการศึกษาในอนาคต ไม่ว่าในวันนั้น โควิดจะยังอยู่กับเราหรือไม่ก็ตาม
สิ่งที่ชวนผลักดันให้เป็นความปกติใหม่
วิกฤตโควิดทำให้รู้ว่า การจัดการเรียนการสอนแบบ fit-for-all ทำเหมือนกันทั่วประเทศ นั้นไม่มีประสิทธิภาพ ซึ่งความจริงกระทรวงศึกษาธิการเองก็พอรู้ปัญหานี้อยู่บ้างแล้ว ก่อนเริ่มทดลองเรียนทางไกลจึงให้แต่ละโรงเรียนสำรวจความพร้อมในพื้นที่ของตัวเอง แต่เมื่อถึงเวลาที่ต้องแก้ไขปัญหาจริงๆ สิ่งที่เราเห็นได้ชัดก็คือ หลายๆ ฝ่ายก็ยังต้องรอคำสั่งจากส่วนกลางอยู่ดี
การกระจายอำนาจในการจัดการศึกษา - จึงเป็นอีกโจทย์ใหญ่ที่กระทรวงศึกษาธิการไทยถูกเรียกร้องมาโดยตลอด
หลักสูตรแกนกลางการศึกษา - ก็ถูกตั้งคำถามว่ายืดหยุ่นเพียงพอที่จะช่วยให้เกิดอิสระในการจัดการศึกษาหรือไม่
ถ้าสมมุติในอนาคต เกิดวิกฤตเช่นโควิดอีกครั้ง เราจะมีวิธีใดที่จะช่วยแก้ไขปัญหา โดยไม่ต้องมาลองผิดลองถูกกันทั้งประเทศอีกเช่นปัจจุบัน
ส่วนเรื่องการจัดการเรียนการสอน สมเกียรติ ตั้งกิจวาณิชย์ ประธาน TDRI มองว่า ทั้งการเรียนออนไซต์ (ในห้องเรียน) ออนแอร์ (ผ่านทีวี) และออนไลน์ สามารถนำมาใช้ร่วมกันได้ โดยเขามองว่า การเรียนในห้องเรียนยังมีความจำเป็นที่สุด ส่วนสื่อออนไลน์สามารถนำมาช่วยครูให้หาความรู้ใหม่ๆ หรือลดเวลาที่ต้องทำงานที่ไม่เกี่ยวข้องกับการสอนได้ ส่วนการเรียนผ่านทีวี ที่น่าจะมีประสิทธิภาพต่ำที่สุด อาจใช้เป็นการเติมในส่วนที่ขาดเท่านั้น
การใช้เครื่องมือแบบผสมผสาน ไม่ใช่เรื่องใหม่ มีศัพท์เรียกว่า blended learning ที่ใช้วิธีการเรียนการสอนแบบออฟไลน์และออนไลน์มาผสมผสานและเพิ่มประสิทธิภาพกันและกัน
หวังว่า บทเรียนจากโควิดครั้งนี้จะช่วยให้ระบบการศึกษาไทยก้าวไปข้างหน้า ไม่กลับไปทำแบบเดิม เป็น old normal ที่ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปจากในอดีต
Illustration by Waragorn Keeranan
GMC63 ยุคผม ทุกคนเรียกว่า ยุค 90
ยุค2000 ก็ว่ายุคมิลลีเนียม
ยุค2020 ต้องเรียกว่ายุค เด็กโง่ ครับ เด็กน้อยๆชอบครับ ไม่ต้องไปโรงเรียน เรียนที่บ้าน ได้ความรู้น้อย ได้เพื่อน ได้ความสัมพันธ์ร่วมกันน้อย
28 พ.ค. 2563 เวลา 14.54 น.
:: iamPATT :: ถ้าผู้บริหารประเทศยังเป็นพวกแก่กระโหลกกะลาแบบนี้ บอกเลยว่า ยาก... ต้องรอ gen z โตเป็น รมต. ก่อน //
28 พ.ค. 2563 เวลา 14.50 น.
สาธิต 😱 ไปปรับปรุงระบบพื้นฐานให้ครอบคลุมทุกพื้นที่ก่อนเลยครับ ถ้าคิดจะออนไลน์ อินเตอร์เน็ตค่าบริการก็ยังแพง จะ 3g 4g ก็ใช่ว่าจะถูก แล้วยังผูกขาดกับเจ้าเดิมๆ 4 5 ราย ถ้าจะทำให้ทั่วถึง ไม่ยาก ไม่ต้องต่อสายไฟเบอร์ เอา 3g 4g 5g นี่แหละ เสาอากาศมันแทบจะครอบคลุมประเทศไทย แค่จำกัดให้ sim มือถือ ใช้เรียนออนไลน์ได้อย่างเดียวพอ แจก sim tablet เด็กๆ เหมือนเดิม ค่าเน็ตค่าซิม จ่ายตามจำนวนที่แจก คงไม่แพงสำหรับรัฐบาลเพื่อเด็กๆ ครับ
28 พ.ค. 2563 เวลา 15.11 น.
suthin mooya oppo นี่คือคนมันสมองน้อยนิดคของเจ้ากระทรวงที่ปล่อยให้ลิ้วล้อที่ไม่รู้เรื่องการศึกษามาจูงจมูก นำพาการศึกษาลงหูบเหว การศึกษาไม่ใช่จะนำมาทดลองเล่นๆ
28 พ.ค. 2563 เวลา 15.05 น.
กูคิดไว้อยู่แล้ว ทำไมมึงไม่ใช้คำว่า "วิถีชีวิตรูปแบบใหม่" แทน ชาวบ้านเขาไม่ได้เข้าใจเหมือนมึงทุกคนนะ สัสส
28 พ.ค. 2563 เวลา 15.00 น.
ดูทั้งหมด