เมืองไทย 360 องศา
วิจารณ์กันเยอะมากเหลือเกินกับความเคลื่อนไหวภายในพรรคพลังประชารัฐในเวลานี้ เนื่องจากหลายคนคาดไม่ถึงว่าถึงขั้นเอาจริงกับความพยายามในการเปลี่ยนตัวหัวหน้าพรรค คือ นายอุตตม สาวนายน และเลขาธิการพรรค นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ ไปเป็นคนอื่น ในช่วงสถานการณ์ที่บ้านเมืองกำลังทุกข์ร้อนแสนเข็ญ โดยทุกฝ่ายมองเห็นเป้าหมายปลายทางของ“บางกลุ่ม”ที่ก่อการเป็นจุดเดียวกัน นั่นคือมุ่งไปที่ตำแหน่งรัฐมนตรีที่ทั้งคู่ดำรงตำแหน่งอยู่ในเวลานี้นั่นเอง
แน่นอนว่าการลาออกของกรรมการบริหารพรรคพร้อมกันจำนวน 18 คน จะมีเบื้องหลังอธิบายซับซ้อนอย่างไรก็ตาม แต่ก็มีจำนวนเกินกึ่งหนึ่งตามข้อบังคับพรรค โดยมีผลภายในวันที่ 1 มิถุนายนที่ผ่านมา ย่อมทำให้คณะกรรมการบริหารพรรคทั้งชุดต้องพ้นไปด้วย โดยเฉพาะตำแหน่งหัวหน้าพรรค คือนายอุตตม สาวนายน และ นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ เลขาธิการพรรค ที่เวลานี้เป็นรักษาการในตำแหน่งดังกล่าวเท่านั้น และต้องมีการเลือกตั้งชุดใหม่ ภายใน 45 วัน
ขณะเดียวกัน นาทีนี้เชื่อว่าในทางสังคมคงรับรู้กันไปแล้วว่า การเคลื่อนไหวกดดันให้มีการเปลี่ยนแปลงตำแหน่งหัวหน้าพรรค และเลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ มาจากใคร และมีใครเป็นแกนนำบ้าง และยังรวมไปถึงข่าวคราวและความเคลื่อนไหวที่ตามมาอีกว่า “ใคร”จะมาเป็นหัวหน้าพรรค และเลขาธิการพรรคคนใหม่สืบแทน
อย่างไรก็ดี สิ่งที่ต้องจับตากันก็คือการเคลื่อนไหวให้มีการเปลี่ยนแปลงภายในพรรคพลังประชารัฐดังกล่าวได้สร้างความ“มึนงง”ให้กับสังคม โดยเฉพาะบรรดาฝ่าย “กองหนุน”รัฐบาล โดยเฉพาะกลุ่มคนที่สนับสนุน “ลุงตู่”พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ว่า “
เกิดอะไรขึ้น” เพราะเป็นการเคลื่อนไหวทางการเมืองในช่วงที่ประชาชนทั้งประเทศกำลังเดือดร้อน ได้รับผลกระทบจากโรคระบาดติดเชื้อโควิด-19 ชนิดที่เรียกว่า “เลือดตากระเด็น” กันทั้งนั้น
แต่การเคลื่อนไหวดังกล่าวที่ผ่านมา และที่กำลังเกิดขึ้นในเวลานี้ สังคมได้รับรู้กันแต่เรื่อง“ต้องการตำแหน่งรัฐมนตรี”รวมไปถึงความต้องการเข้ามามีบทบาทในแบบ “มีเอี่ยว” กับงบประมาณที่จะถูกนำมาใช้สำหรับฟื้นฟูเยียวยาผลกระทบทางเศรษฐกิจจากโรคระบาดโควิด-19 จำนวนประมาณ 4 แสนล้านบาท
ก็เพราะเกี่ยวกับ “ผลประโยชน์”ด้านงบประมาณนั่นแหละ มันก็ยิ่งซ้ำเติมความรู้สึกของชาวบ้านให้ออกไปทางลบอย่างมาก ชนิดที่เรียกว่า“สร้างความรู้สึกที่ไม่ดี” อย่างรุนแรงในช่วงเวลาไม่กี่วันที่ผ่านมานี้
ทั้งๆที่จะว่าไปแล้วในช่วงการรับมือกับโรคระบาด ถือว่ารัฐบาลสามารถรับมือได้ค่อนข้างดี จนได้รับคำชมจากต่างประเทศ และจากองค์การอนามัยโลกมาตลอด ที่สามารถควบคุมโรคได้ดี มีผู้ติดเชื้อ และผู้เสียชีวิตจำนวนน้อยมาก โดยเฉพาะการสร้างมาตรฐานทางสาธารณสุขในระดับดีเป็นตัวอย่างให้กับนานาชาติ ซึ่งเพียงเรื่องนี้เรื่องเดียวก็ทำให้สร้างศรัทธาให้กับรัฐบาลโดยรวม แม้ว่าในความเป็นจริงแล้วเป็นเครดิตของบุคลากรทางสาธารสุข และการสร้างความร่วมแรงร่วมใจของประชาชนทั้งประเทศต่างหากจนมีผลที่เห็นในวันนี้ก็ตาม
แต่เอาเป็นว่าผลจากการรับมือโรคระบาดดังกล่าวก็ทำให้ฝ่ายรัฐบาลได้เครดิต แม้ว่าหนทางข้างหน้ายังหนักหนาสาหัส กับเรื่องของการฟื้นฟู เยียวยาจากหายนะที่กำลังประดังเข้ามาในเวลานี้ ซึ่งความเคลื่อนไหวในพรรคร่วมรัฐบาล โดยเฉพาะพรรคแกนนำรัฐบาลอย่างพรรคพลังประชารัฐ ควรจะมีข่าวออกมาในการร่วมแรงร่วมใจกัน ตั้งหน้าตั้งตาทำหน้าที่ร่วมกัน ทำหน้าที่ของตัวเองให้เต็มที่ เป็นมือเป็นไม้ให้กับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในการแก้ปัญหาให้ประเทศชาติและประชาชน น่าจะออกมาในโทนแบบนี้
ไม่ใช่ลักษณะของการ “ทะลุกลางปล้อง”แบบ “จู่ๆก็มีการรวมกลุ่มเพื่อแย่งเก้าอี้รัฐมนตรี”เพื่อให้ตัวเองและกลุ่มของตัวเองเข้ามาแทน ทั้งๆ ที่ผ่านมาหลายคนที่ปรากฏเป็นข่าวร่วมเคลื่อนไหว ไม่ได้ปรากฏว่ามีผลงานอะไรที่โดดเด่นให้เป็นที่จดจำ บางคนชาวบ้านยังไม่รู้ด้วยซ้ำไปว่าเป็นรัฐมนตรีร่วมอยู่ในคณะรัฐบาลชุดนี้ ขณะที่บางคนถูกสังคม “ยี้”แต่ก็ไม่เคยสำนึก สำเหนียกใดๆเลย กลายเป็นภาพของการเมือง“โบราณสุดน้ำเน่า”ที่สร้างความสะอิดสะเอียนให้ชาวบ้านที่ ได้ยินข่าวแบบนี้
อย่างไรก็ดี นักการเมืองพวกนี้อาจจะไม่เคยสนใจความรู้สึกของสังคม อาจไม่แคร์ เพราะคิดว่ายังไม่ถึงเวลาเลือกตั้ง หรือหากมีการเลือกตั้งก็ยังมั่นใจว่า หากตัวเองยังมีอำนาจรัฐ มี“กระสุน”เหนือกว่าคู่แข่งก็จะชนะการเลือกตั้งกลับมาอีก ทั้งนี้เวลานี้สถานการณ์กำลังเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว ทุกอย่างจะอยู่ได้อย่างมั่นคงด้วยความ “ศรัทธา”เท่านั้น
ต่อให้มีเสียงในสภาฯ หรือในพรรคเด็ดขาดแค่ไหนก็ตาม หากชาวบ้านไม่ศรัทธา มีแต่เสียง “ยี้”มันก็ไม่มีความหมาย และเตรียมนับถอยหลังได้เลย และที่สำคัญนักการเมืองพวกนี้ ในยุคสมัยใหม่เชื่อว่าชาวบ้านเขาจะจดจำเอาไว้สำหรับการ“สั่งสอน”ในภายหน้า
ขณะเดียวกัน ความเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นในพรรคพลังประชารัฐในเวลานี้ ย่อมสร้างความรู้สึกช็อกให้กับกลุ่ม“กองหนุน”รัฐบาล โดยเฉพาะกองหนุน ลุงตู่ ที่ไม่นึกว่าจะเกิดเรื่องดังกล่าวในช่วงเวลาและสถานการณ์อันเจ็บปวด เรียกว่า “ไม่รู้กาลเทศะ”ไม่รู้เหนือรู้ใต้ สร้างความผิดหวังอย่างแรง และที่สำคัญอย่าดูเบากับ “พลังศรัทธา”มหาชนเป็นอันขาด !!
website : mgronline.com
facebook : MGRonlineLive
twitter : @MGROnlineLive
instagram : mgronline
line : MGROnline
youtube : MGR Online VDO
คุณชาญ พปชร.ไม่ได้เปลี่ยนไปเพียงแต่ถึงเวลาแสดงธาตุแท้ที่ถูกพรางเอาไว้มานานเท่านั้น แรงกระตุ้นให้ธาตุแท้แสดงออกมาก็คืองบประมาณแผ่นดินจาก พรก.กู้เงินที่เพิ่งผ่านสภาไป และนักการเมืองเหล่านี้มีประสบการณ์มากพอที่จะรู้ได้ว่ารัฐบาลนี้มีภูมิคุ้มกันสูง ข่าวฉาวข่าวโกงในรัฐบาลจะถูกกลบและเลือนหายไปกับกาลเวลา เพียงแค่หาเหตุผลง่ายๆมาอธิบายเช่นเข้าใจคลาดเคลื่อนในการนับสต๊อคหน้ากาก ยืมใช้คงรูป เป็นต้น ทั้งงบประมาณมหาศาลบวกภูมิคุ้มกันสูงแบบนี้จะมัวพรางตัวสร้างภาพไปทำไม โอกาสทองมารอแบบนี้ไม่คว้าไว้ก็ผิดวิสัยแล้วล่ะครับ
03 มิ.ย. 2563 เวลา 18.14 น.
Eed Eed เนื้อก้อนใหญ่ไพศาลกำลังจะลอยมา
อยู่ตรงหน้า..ก็เตรียมตัวงับไว้ไง
03 มิ.ย. 2563 เวลา 18.49 น.
Marquee กองเชียร์ตู่ จะรู้ว่าตัวเองโง่ ก็งานนี้
03 มิ.ย. 2563 เวลา 20.02 น.
ไพโรจน์ ดุกสุขแก้ว นักการเมืองนี้ น่าเบื่อจริงๆเห็นแต่ประโยชน์ส่วนตัว แต่ชอบอ้างคำว่าประชาชน
03 มิ.ย. 2563 เวลา 21.22 น.
Marquee ถ้ายังจำกันได้ สุริยะ เขาหมายมั่นปั้นมือ พลังงานตั้งแต่แรกเริ่มแล้ว
และถ้ายังจำกันได้ว่า ทำไม เขาถึงยอมไม่เอาแต่แรก หลังจากคุยกับตู่
เพราะเขาตกลงกันแล้วว่า ให้รอ สุริยะ จึงรอจนมาถึงวันนี้
03 มิ.ย. 2563 เวลา 20.01 น.
ดูทั้งหมด