พระราชกรณียกิจที่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงบำเพ็ญไว้ต่อประเทศชาติและประชาชนชาวสยามมีมากมายเหลือคณานับ พระองค์เสด็จสวรรคตเมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2468 เวลา 1 นาฬิกา 45 นาที สิริพระชนมายุ 44 พรรษา 11 เดือน 26 วัน เสด็จดำรงสิริราชสมบัติ 15 ปี 1 เดือน 3 วัน[1] (ประเพณีไทยถือว่ายังเป็นวันที่ 25 พฤศจิกายน จึงจัดงานวันคล้ายวันสวรรคตในวันที่ 25 พฤศจิกายน ของทุกปี)
และเมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2554 เวลา 16.37 น. สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี ซึ่งเป็นพระราชธิดาพระองค์เดียวของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าฯ ได้สิ้นพระชนม์ลงด้วยพระอาการติดเชื้อในพระกระแสโลหิตที่โรงพยาบาลศิริราช
โดยที่สาเหตุแห่งการสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าฯ ยังไม่เป็นที่ทราบแน่ชัด ผมในฐานะที่เป็นแพทย์คนหนึ่งซึ่งมีความจงรักภักดีและศรัทธาต่อพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าฯ มาช้านานตั้งแต่เมื่อครั้งยังเป็นเด็กจึงขออาสาใช้ความรู้ทางการแพทย์เพื่อมาวิเคราะห์สาเหตุแห่งการสวรรคตของพระองค์โดยใช้หลักฐานเท่าที่หาได้ในปัจจุบัน คือ
1. หนังสือเรื่อง “พระบาทสมเด็จพระรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราวุธ พระมงกุฎเกล้าเจ้าแผ่นดินสยาม” ซึ่งเขียนโดย คุณวรชาติ มีชูบท [1]
2. บทความในหนังสือเรื่องI lost a king [2] ซึ่งเขียนโดย Ralph W. Mendelson (นายแพทย์เมนเดลสัน) ซึ่งตีพิมพ์เมื่อปี ค.ศ. 1964 แปลโดย คุณทวีศิลป์ สืบวัฒนะ และนายแพทย์อภิชาติ ฉวีกุลรัตน์ ที่ลงตีพิมพ์ในวารสารวชิราวุธานุสรณ์สาร ปีที่ 13 ฉบับที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2537 โดยนายแพทย์เมนเดลสันซึ่งเป็นผู้ที่ถวายการรักษาโดยการผ่าตัดพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าฯ ก่อนที่จะเสด็จสวรรคต
3. บทความเรื่อง “ศิษย์เก่าราชแพทยาลัยกับกรณีสวรรคตของล้นเกล้ารัชกาลที่ 6” ซึ่งเขียนโดย ศ.นพ. สุดแสงวิเชียร [3] ซึ่งลงตีพิมพ์ในสารศิริราช ปีที่ 34 ฉบับที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2525
4. หนังสือเรื่อง “ดวงแก้วแห่งพระมงกุฎเกล้า” ซึ่งเรียบเรียงโดย คุณหญิงวินิตา ดิถียนต์ และคุณชัชพล ไชยพร [4]
เนื่องจากนายแพทย์เมนเดลสัน [2] ได้เขียนบรรยายในหนังสือของท่านโดยเรียงลำดับเหตุการณ์ตามวันและเวลาที่เกิดขึ้นโดยละเอียดอย่างดีเยี่ยม ประกอบกับท่านเป็นแพทย์ผู้ที่ถวายการผ่าตัดพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าฯ ก่อนสวรรคต ผมจึงขอใช้บทความของท่านเป็นหลักและใช้บทความอื่น ๆ ซึ่งพบว่ามีความแตกต่างกันตั้งแต่น้อยถึงมากมาร่วมประกอบในการเขียนบทความครั้งนี้ โดยผมจะวิเคราะห์เพิ่มเติมไปตามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นวันไป ในบทความของจมื่นมานิตย์นเรศกล่าวว่า
เมื่อครั้งทรงพระเยาว์ขณะศึกษาที่ประเทศอังกฤษตั้งแต่เมื่อปี พ.ศ. 2436 ในระหว่างปิดภาคเรียนฤดูร้อน พ.ศ. 2443 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าฯ ทรงพระประชวร พระอันตะติ่งอักเสบ (ไส้ติ่ง = Vermiform appendix – ผู้เขียน) และทรงได้รับการถวายการผ่าตัดและพบว่ามีหนองที่พระยอดตรงพระอันตะติ่ง (ฝีกลัดหนองที่ไส้ติ่ง) เข้าขั้นอันตราย [5]
แต่เนื่องจากการผ่าตัดด้วยวิธีเปิดหน้าท้องในสมัยนั้นเพิ่งเริ่มทำมาไม่กี่รายและพระองค์ทรงเป็นคนไข้รุ่นแรก ๆ ของโลกที่ได้รับการรักษาด้วยวิธีการผ่าตัดเปิดหน้าท้อง การเย็บแผลจึงเย็บเฉพาะที่ผิวชั้นนอกทำให้ผนังหน้าท้องบริเวณนี้ไม่แข็งแรงเหมือนเดิม ต่อมาจึงเกิดโพรงที่ผนังหน้าท้องภายใน [4] เพราะว่าผนังหน้าท้องบริเวณนี้โดยปกติจะมีกล้ามเนื้อและพังผืดของกล้ามเนื้อ (Aponeurosis) ที่จะเสริมสร้างความแข็งแรงของผนังหน้าท้อง (ดังรูปที่ 1) [6]
ประกอบกับข้อมูลของนายแพทย์เมนเดลสัน [2] ได้เขียนถึงพระประชวรที่ประเทศอังกฤษว่า พระอันตะติ่งของพระองค์แตก ซึ่งในทางการแพทย์ถือว่าเป็นภาวะแทรกซ้อนของโรคไส้ติ่งอักเสบ พระองค์ทรงได้รับการถวายการผ่าตัดด้วยการระบายหนองออกและต่อมาทรงได้รับการถวายการผ่าตัดติดต่อกันอีก 3 ครั้ง แล้วรักษาอาการของแผลบริเวณพระนาภีที่รั่วซึมออกมาบริเวณที่ถวายการผ่าตัดและต่อมาบริเวณพระนาภีตำแหน่งดังกล่าวมีการโป่งพองออก ดังนั้นการรักษาโดยการผ่าตัดผนังหน้าท้องหลายครั้งและการเย็บเฉพาะที่ผิวชั้นนอกย่อมต้องทำให้ผนังหน้าท้องบริเวณนั้นย่อมต้องอ่อนแอลงเป็นธรรมดา
โดยทั่วไปในการผ่าตัดไส้ติ่งนั้นขณะที่เปิดแผลผ่าตัดเพื่อจะต้องมีการแยกกล้ามเนื้อและพังผืดนี้เพื่อให้สามารถเปิดเข้าช่องท้องได้ ทำให้ผนังหน้าท้องที่มีการเย็บปิดเฉพาะชั้นผิวหนังและไขมันจึงอ่อนแอกว่าผนังหน้าท้องบริเวณอื่น ๆ ที่ไม่ถูกผ่าตัดและยืดตัวออกโดยมีลักษณะเป็นถุงหรือกระเปาะในเวลาต่อมา
ลำไส้เล็กซึ่งโดยปกติสามารถเคลื่อนไหวไปมาได้ในช่องท้องก็อาจจะเคลื่อนที่ผ่านเข้ามาในกระเปาะนี้ได้ ลักษณะที่ลำไส้เล็กเคลื่อนออกจากช่องท้องโดยผ่านช่องต่าง ๆ ไปยังกระเปาะซึ่งอยู่ภายในอวัยวะอื่น ๆ เราเรียกเป็นศัพท์ทางแพทย์ว่าไส้เลื่อน (Hernia) ตัวอย่างที่เรามักจะเห็นบ่อยคือกรณีไส้เลื่อนที่เกิดบริเวณถุงอัณฑะทำให้ถุงอัณฑะโตผิดปกติ ลำไส้ส่วนที่ยื่นเข้าไปในกระเปาะนี้อาจเป็นลำไส้ใหญ่ส่วนที่เรียกว่า cecum ซึ่งมีไส้ติ่งยื่นออกจากลำไส้ใหญ่ส่วนนี้ก็ได้ (ดังรูปที่ 2) [6] และ (รูปที่ 3) [6] โดยลำไส้ใหญ่ (cecum) นี้อยู่ตรงกับบริเวณผนังหน้าท้องที่มีแผลผ่าตัดซึ่งกลายเป็นถุงหรือกระเปาะในเวลาต่อมา
ดังนั้น หลังจากที่พระองค์ได้รับการถวายการผ่าตัดพระอันตะติ่งออกแล้ว พระอันตะ (cecum) ก็สามารถเคลื่อนไหวโป่งพองเข้าไปในกระเปาะได้ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าฯ ทรงมีรูโหว่ที่เกิดขึ้นบริเวณแผลเป็นที่เบื้องล่างพระนาภีซีกขวา ซึ่งเป็นบริเวณที่ศัลยแพทย์ได้เคยถวายการผ่าตัดพระอันตะติ่งแด่พระองค์ มีลักษณะเป็นรอยแข็ง มีรูปร่างเป็นก้อนกลมขนาดเท่าผลส้มเกลี้ยงทำให้ต้องทรงใช้ผ้าแถบรัดบั้นพระองค์ขณะทรงพระสนับเพลาแพรเพื่อรัดโยงแผลนั้นไว้ แสดงว่าพระอันตะเข้าไปที่รูโหว่เข้าไปในผนังหน้าท้อง เราเรียกไส้เลื่อนที่เกิดจากการอ่อนแอของแผลผ่าตัด (Incisional hernia – ผู้เขียน) พระอันตะเลื่อนนี้ทำให้ทรงอึดอัด เป็นหน้าที่มหาดเล็กจะต้องค่อย ๆ ช้อนตรงแผลเป็นเบา ๆ ยกขึ้นข้างเหนือแล้วเอียงเทให้ควํ่าเข้าในพระนาภี จะมีปรากฏเสียงจ๊อก ๆ ยาว ๆ และก็ทรงสบายหายอึดอัดได้พักหนึ่งก่อนจะถึงเวลาเสวยครั้งต่อไป ซึ่งก็จะวนเวียนอึดอัดอยู่อย่างนี้ [4]
ความจริงแพทย์ได้ตรวจพบพระอันตะเลื่อน (ไส้เลื่อน) เข้าไปในถุงแผลนี้เป็นอยู่บ่อย ๆ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2463 และได้ถวายคำแนะนำให้ทรงทำผ่าตัดใหม่ยังต่างประเทศ [5]
แต่ครั้นใกล้วันเสด็จพระราชดำเนินทรงทราบข่าวว่าสมเด็จเจ้าฟ้าจักรพงษ์ฯ กรมหลวงพิษณุโลกประชานาถเสด็จทิวงคตอย่างกะทันหันที่ประเทศสิงคโปร์ เนื่องจากพระองค์ทรงอยู่ในตำแหน่งรัชทายาทลำดับแรกและปฏิบัติพระราชกรณียกิจแทนพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าฯ อยู่เนือง ๆ ทำให้พระองค์ต้องงดการเสด็จพระราชดำเนินไปรักษาพระองค์และต่อมาก็ไม่ปรากฏมีช่วงจังหวะเวลาที่เหมาะสมอีกเลยจนเสด็จสวรรคตในที่สุด ประกอบด้วยพระราชกรณียกิจที่มากมายทำให้พระพลานามัยเสื่อมทรุดลงเป็นลำดับ
คุณวรชาติได้เขียนไว้ในหนังสือของท่านว่า “…แผลผ่าตัดพระอันตะซึ่งทรงได้รับการผ่าตัดไว้เมื่อกว่ายี่สิบปีก่อนเริ่มแตกออกและลุกลามเป็นพระโรคเยื่อหุ้มกระเพาะอาหารอักเสบ ถึงเดือนกันยายน พ.ศ. 2468 เริ่มมีพระอาการประชวรกระเสาะกระแสะมาโดยตลอด…” [1]
เป็นข้อมูลที่พบแต่ในหนังสือที่คุณวรชาติ [1] ได้เขียนไว้เพียงเล่มเดียวเท่านั้น ซึ่งผมคิดว่าไม่น่าจะเป็นไปได้เพราะหากแผลผ่าตัดนี้แตกจริง ลำไส้ก็จะสามารถเคลื่อนผ่านผนังหน้าท้องออกมาสู่ภายนอกและจะทำให้เกิดการติดเชื้อในช่องท้องที่เรียกว่า ภาวะเยื่อบุช่องท้องอักเสบ (Peritonitis) ได้ ซึ่งภาวะนี้รุนแรงมากจนอาจทำให้เสียชีวิตได้ ถือว่าเป็นภาวะฉุกเฉินทางการแพทย์ที่จะต้องได้รับการผ่าตัดเพื่อเปิดผนังหน้าท้องที่แตกโดยด่วน
อีกประการหนึ่งคือ โดยปกติกระเพาะอาหารจะอยู่ในช่องท้องส่วนบนบริเวณลิ้นปี่ ค่อนมาทางด้านซ้ายเล็กน้อย ดังนั้นหากแผลซึ่งอยู่บริเวณท้องน้อยด้านล่างขวาแตกออกก็ไม่น่าจะทำให้กระเพาะอาหารออกมานอกช่องท้องจนทำให้เยื่อหุ้มกระเพาะอาหารอักเสบได้ เนื่องจากอยู่ห่างกันมาก ผมคิดว่าน่าจะทำให้เกิดเยื่อบุช่องท้องอักเสบมากกว่า และหากเกิดกรณีแผลผ่าตัดฯ แตกออกจริง ๆ แล้ว ผมคิดว่าพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าฯ น่าจะสวรรคตตั้งแต่เมื่อแผลผ่าตัดฯ เริ่มแตกออกแล้วเพียงไม่กี่วัน
วันที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2468
วันนี้เป็นวันฉัตรมงคลของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าฯ มีพระราชพิธีฉัตรมงคล ซึ่งพระองค์ทรงดูอ่อนเพลียกว่าปกติ [1] และคืนนั้นพระองค์ประชวรพระวาโย (เป็นลม -ผู้เขียน) ในห้องลงพระบังคนโดยไม่พบว่ามีพระบังคนในหม้อ มีแต่เศษใบคะน้าอยู่เล็กน้อย พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าฯ ทรงสยิ้วพระพักตร์แสดงว่าทรงปวดมาก ใช้พระหัตถ์ขวากุมที่พระนาภีตรงที่เป็นแผลเป็น ทรงบิดพระวรกายเล็กน้อยรับสั่งว่าปวดจริง [5] อาจารย์หมอสุด แสงวิเชียร ได้เขียนถึงเหตุการณ์ตอนนี้ในบทความของท่านว่า “แผลเป็นอูมปูดขนาดใหญ่ อันเป็นรอยเกิดจากการผ่าตัดพระโรคไส้ติ่งอักเสบสมัยยังทรงพระเยาว์และทรงศึกษาวิชาอยู่ในประเทศอังกฤษ” [3]
วันที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2468
ในบทความของนายแพทย์เมนเดลสันได้เขียนอาการพระประชวรที่เกิดขึ้นในเช้าวันที่ 12 พฤศจิกายน ดังนี้ “…ตั้งแต่เวลา 4 นาฬิกา ในตอนเช้าได้เสวยพระกระยาหารหนักถึง 2 ครั้ง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้มีรับสั่งว่าทรงปวดพระนาภีและทรงพระอาเจียน 2 ครั้ง แพทย์หลวงได้ชี้แจงต่อไปอีกว่า พระโรคเดิมที่เคยทรงพระประชวรได้กำเริบขึ้นอีกและแพทย์ผู้ถวายการรักษาได้วินิจฉัยสาเหตุของพระอาการว่าเกิดจากการบีบตัวอย่างไม่สมํ่าเสมอของพระอันตะ (ลำไส้) แพทย์หลวงได้ถวายพระโอสถมอร์ฟีนและได้ถวายการสวนทางช่องพระบังคนหนัก แพทย์หลวงแน่ใจว่าพระโอสถมอร์ฟีนจะยุติพระอาการปวดลงได้ แต่นับว่าโชคไม่ดีที่การสวนทางช่องพระบังคนหนักไม่ก่อให้เกิดผลแต่ประการใด” [2]
พระอาการปวดพระนาภีร่วมกับทรงพระอาเจียนและแผลเป็นปูดขนาดใหญ่ อาจเป็นอาการของภาวะลำไส้ที่เคยเคลื่อนไปมาเข้าไปในถุงแผลเป็นไม่สามารถเคลื่อนเข้าไปในช่องท้องได้เหมือนเดิมเข้าได้กับภาวะที่ลำไส้อุดตัน ซึ่งอาจจะเป็นลำไส้เล็กหรือลำไส้ใหญ่ก็ได้ ถ้าพิจารณาขณะนี้น่าจะเป็นลำไส้เล็ก (Small bowel obstruction) มากที่สุด โดยพิจารณาจากพระราชประวัติที่พระอันตะเลื่อนเข้าไปในถุงเมื่อเสวยเสร็จใหม่ ๆ ต้องให้มหาดเล็กค่อย ๆ ช้อนถุงเนื้อนี้เบา ๆ ยกขึ้นข้างเหนือแล้วเอียงให้เทควํ่าเข้าในพระนาภี อาการแสดงของผู้ป่วยที่มีภาวะลำไส้เล็กอุดตันคือ ปวดท้องแบบบิด ๆ เป็นพัก ๆ คลื่นไส้ อาเจียน และท้องผูก โดยอาเจียนเป็นอาการที่สำคัญ
ถ้าลำไส้อุดตันช่วงต้น ๆ มากกว่าช่วงปลาย ๆ ภาวะลำไส้เล็กอุดตันนี้อาจเป็นแบบอุดตันบางส่วน (Partial) มากกว่าอุดตันทั้งหมด (complete) โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าผู้ป่วยสามารถผายลมหรือถ่ายอุจจาระได้หลังจากเริ่มมีอาการนี้ 6-12 ชั่วโมง การมีไข้ ชีพจรเต้นเร็ว กดเจ็บที่บริเวณหน้าท้องเฉพาะที่มีภาวะลำไส้เล็กอุดตัน เม็ดเลือดขาวในการตรวจเลือดสูงและภาวะความเป็นกรดในเลือดสูง (acidosis) เพียงข้อใดข้อหนึ่งที่กล่าวมานี้ บ่งบอกว่าเส้นเลือดที่ไปหล่อเลี้ยงลำไส้ส่วนนั้นถูกบีบรัด ทำให้ลำไส้ขาดเลือดและอาจเกิดลำไส้เน่าในที่สุด (Strangulated obstruction) ซึ่งภาวะนี้ถือว่าเป็นภาวะฉุกเฉินที่จะต้องผ่าตัดรักษาแต่เนิ่น ๆ [7] แต่ถ้ามีอาการท้องผูกเป็นอาการเด่นมากกว่าคลื่นไส้ อาเจียนปวดท้อง แสดงว่า ลำไส้อุดตันที่ลำไส้เล็กส่วนปลายหรือลำไส้ใหญ่มากกว่าลำไส้ส่วนต้น
อย่างไรก็ตาม หากภาวะลำไส้อุดตันแบบชั่วคราวนี้ดีขึ้นก็อาจทำให้ภาวะเส้นเลือดที่ไปเลี้ยงลำไส้ส่วนนั้นถูกบีบรัดก็ดีขึ้นตามลำไส้ที่หายจากการอุดตันแล้วด้วยเช่นกัน ซึ่งในวันที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2468 นั้น พระยาแพทย์พงศาวิสุทธาธิบดี (สุ่น สุนทรเวช) ซึ่งเป็นแพทย์หลวงประจำพระองค์ได้ใช้มือคลำที่พระนาภีตรงรอยแผลเดิมที่มีพระมังสาโป่งอยู่นั้น ก็ได้พบก้อนแข็งอยู่ตรงกลางขนาดผลมะนาว มีสีเป็นรอยบวมแดง เมื่อเอามืออังก็รู้สึกมีความร้อน ลองเอาปลายนิ้วกดเบา ๆ ก็ทรงรูสึ้กเจ็บ พระยาแพทย์พงศาฯ ลงความเห็นว่าเป็นแผลที่พระอันตะต้องรีบทำการผ่าตัดภายใน 8 ชั่วโมง [3] แต่ในวันนั้นพระชีพจรของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าฯ ยังเต้นเป็นปกติอยู่
ดังนั้น เมื่อพิจารณาข้อมูลทั้งหมดพบว่า อย่างน้อยมีการตรวจกดเจ็บที่บริเวณหน้าท้องเฉพาะที่มีภาวะลำไส้อุดตันเพียงอย่างเดียว ที่ชวนให้สงสัยว่าอาจมีภาวะเส้นเลือดที่ไปเลี้ยงพระอันตะของพระองค์นั้นถูกบีบรัดเนื่องจากพระอันตะอุดตัน เมื่อพระยาแพทย์พงศาฯ เรียกประชุมนายแพทย์ชั้นผู้ใหญ่อีก 3 ท่าน คือ พระยาดำรงแพทยาคุณ (ชื่น พุทธิแพทย์) พระยาอัศวินอำนวยเวช (อาลฟองซ์ ปัวซ์) และพระยาวิรัชเวชกิจ (ดิลิเก คุณดิลก)
แพทย์ทั้ง 3 ท่านนี้วินิจฉัยว่าพระอาการเกิดจากพระวักกะ (ไต) ทำให้เกิดมีการโต้เถียงกันอย่างรุนแรงกับพระยาแพทย์พงศาฯ ซึ่งได้เข้ามาเป็นแพทย์ประจำพระองค์มา 16 ปีแล้วและรู้ดีในพระสรีระของพระองค์ว่าเป็นอะไรและจะไม่ยอมลงชื่อรับรองตามความเห็นของคณะนายแพทย์ชั้นผู้ใหญ่ทั้ง 3 คนอย่างเด็ดขาด ในที่สุดเลยตัดสินกันว่าต้องให้พระยาแพทย์พงศาฯ ลงชื่อด้วย แต่จะมีหมายเหตุไว้ข้างท้ายว่า พระยาแพทย์พงศาฯ ไม่เห็นพ้องด้วย พระยาแพทย์พงศาฯ จึงได้ยอมลงชื่อด้วย
อย่างไรก็ตาม นายแพทย์เมนเดลสันได้กล่าวถึงแถลงการณ์สำนักพระราชวังเกี่ยวกับพระอาการประชวรเมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2468 โดยเขียนว่า “เมื่อเวลาเช้าก่อน 5 นาฬิกา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระประชวรด้วยพระอาการจากพระอันตะหดเกร็งและทรงพระอาเจียน ในขณะเดียวกันพระนาภีตรงตำแหน่งที่โป่งพองมีอาการแน่นตึงและทรงปวดมาก คณะแพทย์มีความเห็นว่ายังตรวจไม่พบอาการแสดงของการอุดตันในพระอันตะ และพระอาการของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเกิดเนื่องจากการหดเกร็งของพระอันตะ ซึ่งมีสาเหตุจากการรบกวนของอาหารไม่ย่อย ลงนามพระยาอัศวิน (หมอปัว) พระยาวิชัยกิจ (หมอติลากา) [น่าจะเป็นคนเดียวกับพระยาวิรัชเวชกิจในบทความของอาจารยห์ มอสุด แสงวิเชียร – ผู้เขียน]และพระยาดำรง” [2]
เป็นที่น่าสังเกตว่าแถลงการณ์ฉบับนี้ไม่ได้กล่าวว่าพระอาการประชวรของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าฯ เกิดจากพระวักกะเลย แต่สรุปว่าเกิดจากการหดเกร็งของพระอันตะและได้ลงความเห็นอีกด้วยว่ายังตรวจไม่พบอาการแสดงของการอุดตันในพระอันตะในขณะนั้น ผมคิดว่าจากข้อความในแถลงการณ์นี้ น่าจะชี้บ่งว่าคงจะมีการอภิปรายกันถึงภาวะอุดตันในพระอันตะของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าฯ ในกลุ่มแพทย์หลวงที่ถวายการรักษาพระองค์อยู่ จึงได้เขียนว่ายังตรวจไม่พบพระอาการของการอุดตันในพระอันตะดังกล่าว มิฉะนั้นคงจะไม่เขียนขึ้นมาลอย ๆ ในลักษณะเหมือนกับมีความเห็นขัดแย้งกันอยู่
และที่สำคัญก็คือพระยาแพทย์พงศาฯ ไม่ได้ลงนามในท้ายแถลงการณ์ด้วยเหมือนอย่างที่ปรากฏในบทความของอาจารย์หมอสุดแสงวิเชียร สืบเนื่องจากที่มีความขัดแย้งกันของข้อมูลดังกล่าว ผมได้ลองพยายามสืบค้นดูแถลงการณ์ของสำนักพระราชวังจากหนังสือพิมพ์เก่า ๆ ที่ตีพิมพ์ในระยะเวลาดังกล่าวจากหอสมุดแห่งชาติ แต่ก็เป็นที่น่าเสียดายว่า ผมไม่พบหนังสือพิมพ์เก่าในห้วงระหว่างที่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าฯ ทรงพระประชวรก่อนที่จะสวรรคตที่กล่าวถึงกรณีสวรรคตอย่างละเอียดเลยแม้แต่ฉบับเดียว
วันที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2468
แถลงการณ์สำนักพระราชวังกล่าวว่า “…พระองค์เริ่มทรงมีไขสู้ง 102 องศา [ฟาเรนไฮต์ – ผู้เขียน]พระชีพจรเต้น 112 [ครั้งต่อนาที – ผู้เขียน] พระอาการไข้มีสาเหตุจากการอักเสบของพระอันตะซึ่งเกิดขึ้นเนื่องจากการระคายเคืองและการดูดซึมสารพิษในลำไส้ พระอาการบริเวณพระนาภีดีขึ้นมากและไม่น่าวิตกอะไร เพียงแต่ต้องระวังมิให้ทรงมีพระอาการแทรกซ้อนอวัยวะอื่น ๆ ต่อพระวรกาย” [2]
ผมคิดว่าพระอาการโดยรวมของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าฯ โดยรวมน่าจะไม่ดีขึ้น โดยเฉพาะมีพระอาการของภาวะพระอันตะอุดตันที่น่าจะมีภาวะเส้นเลือดที่ไปเลี้ยงพระอันตะถูกบีบรัดด้วยชัดเจนขึ้นกว่าในวันแรก (12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2468) โดยสังเกตจากที่พระองค์เริ่มทรงมีไข้สูง 102 องศา จากที่ไม่ทรงมีในวันแรก และมีการกล่าวถึงพระอาการไข้เพิ่มขึ้นจากแถลงการณ์ของวันที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2468 แต่เหตุที่พระอาการบริเวณพระนาภีดีขึ้นมากอาจเกิดจากการใช้มอร์ฟีนแก้ปวดเป็นระยะ ๆ ซึ่งเป็นการรักษาที่ปลายเหตุ คือเมื่อมีอาการปวดก็ให้ยาบรรเทาปวด โดยไม่มีการรักษาที่ต้นเหตุที่ทำให้ปวดที่แท้จริงคือภาวะอันตะอุดตันแต่อย่างใด ซึ่งไม่ถูกต้องตามหลักวิชาทางการแพทย์
วันที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2468
นายแพทย์เมนเดลสันได้ตรวจพระวรกายของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าฯ เป็นครั้งแรกในวันที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2468 ซึ่งเป็นวันที่ 3 ของพระประชวรครั้งนี้ โดยพบว่าโรคพระอันตะเลื่อนยังคงบวมใหญ่และมีอาการอักเสบเกิดขึ้นอยู่และยังคงมีพระไขสู้ง 103.5 องศา พระชีพจรเต้นเร็วอยู่ระหว่าง 120-140 ครั้งต่อนาที นอกจากนี้ยังพบว่า พระองค์กำลังทรงหมดพระสติจากพระโรคเบาหวานอย่างรุนแรง โดยที่พระอัสสาสะและพระปัสสาสะของพระองค์มีกลิ่นซึ่งบ่งถึงพระโรคเบาหวาน
นายแพทย์เมนเดลสันได้สรุปว่า ขณะนี้พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าฯ ทรงพระประชวรไม่รู้สึกพระองค์เนื่องจากพระโรคเบาหวานกำเริบและพระโลหิตเป็นพิษ (Septicemia – ผู้เขียน) อันเป็นผลมาจากการอุดกั้นของทางเดินอาหารในพระอันตะและเสนอว่าควรต้องรักษาโรคเบาหวานด้วยอินซูลินซึ่งเป็นยาใหม่ในขณะนั้น แต่กลุ่มนายแพทย์รุ่นอาวุโสที่รักษาพระองค์อยู่ไม่มีประสบการณ์ในการใช้ยาอินซูลินจึงไม่เห็นด้วย นอกจากนั้นกลุ่มแพทย์หลวงเหล่านี้ยังไม่เชื่อว่าพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าฯ ทรงพระประชวรเพราะมีการอุดตันในพระอันตะและก็ไม่มีแพทย์คนใดสนับสนุนความเห็นของนายแพทย์เมนเดลสันเลย [2]
จากการตรวจพระบังคนเบาแสดงให้เห็นถึงอาการของพระโรคเบาหวานและพระองค์ทรงได้รับการรักษาโดยการถวายของเหลวทางช่องพระบังคนหนัก ซึ่งของเหลวได้ดูดซึมอย่างรวดเร็วและพระองค์ได้รับการถวายถุงนํ้าร้อนซึ่งรับสั่งว่า “ร้อนมาก ๆ ร้อนมาก ๆ” พระองค์ยังได้รับการถวายของเหลวทางช่องพระบังคนหนักต่อไปอีกหลายครั้งตลอดทั้งวัน แสดงว่าพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าฯ ทรงมีพระอาการขาดนํ้าในพระวรกายอย่างรุนแรง [2]
ภาวะขาดนํ้านี้อาจเกิดได้จากหลายสาเหตุตั้งแต่เบาหวานที่รุนแรงพระโลหิตเป็นพิษ การอุดตันในพระอันตะ อย่างไรก็ตาม การแก้ภาวะขาดนํ้านี้เป็นการแก้ไขที่ปลายเหตุอีกเช่นเคยซึ่งอาจจะทำให้พระอาการของพระองค์ดีขึ้นเพียงขณะหนึ่งเพียงชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้น แต่พระประชวรก็จะกลับมาทรุดหนักลงอีกต่อไปในที่สุดหากไม่ได้มีการแก้ไขที่ต้นเหตุเสียก่อน อย่างไรก็ตาม ภาวะขาดนํ้าของพระองค์ดีขึ้นโดยดูจากพระบังคนเบาที่ออกมากว่า 1 ลิตร หลังจากที่ทรงได้รับการถวายการสวนทางช่องพระบังคนหนักดังกล่าว แต่ก็อาจเป็นผลเสียคือทำให้คณะแพทย์หลวงชะล่าใจและไม่ใส่ใจที่จะรักษาต้นเหตุของพระโรคในครั้งนี้ต่อไป เพราะเห็นว่าพระอาการของพระองค์ดีขึ้นค่อนข้างมากแล้ว
วันที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2468
นายแพทย์เมนเดลสันได้ไปเยี่ยมพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าฯ และตรวจพบว่าขณะนี้พระอาการของพระองค์โดยรวมดีขึ้น ความดันของพระโลหิตรวมทั้งกลิ่นหายใจของพระองค์ดีขึ้น พระองค์ไม่ทรงปวด หยุดอาเจียนและเสวยพระกระยาหารอ่อน ๆ ได้มาก เหล่าแพทย์หลวงยังไม่เห็นด้วยกับความเห็นของนายแพทย์เมนเดลสันเกี่ยวกับการถวายอินซูลินและถวายการผ่าตัดที่พยายามแนะนำให้แพทย์หลวงยอมรับให้ได้อีกครั้ง โดยพวกเขากล่าวว่านายแพทย์เมนเดลสันเป็นผู้แสดงให้เห็นว่า พระโรคที่พระองค์ประชวรคือพยาธิสภาพที่อยู่นอกช่องพระนาภีและน่าจะรอให้เชื้อโรคดังกล่าวกลายเป็นหนองและรอให้เป็นฝีสุกงอมจึงค่อยถวายการผ่าตัด
ดังนั้น การที่พระอาการของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าฯ ทรงดีขึ้นในขณะนั้นกลับกลายเป็นผลร้ายที่ทำให้แพทย์หลวงวางใจ อีกทั้งยังไม่เห็นด้วยกับแผนการรักษาของนายแพทย์เมนเดลสันทำให้สูญเสียโอกาสในการรักษาต้นเหตุของพระโรคโดยเร็วได้อย่างทันท่วงที ผมคิดว่าแนวคิดในการรักษาพระโรคของพระองค์ในครั้งนี้น่าจะมีความผิดพลาดบางประการ การรอให้ฝีสุกงอมจึงค่อยถวายการผ่าตัดอาจจะใช้ได้ดีในกรณีที่พระองค์มีฝีที่อยู่ผิวหนังภายนอก ซึ่งไม่ได้อยู่ในช่องท้องอย่างที่เกิดขึ้นกับพระองค์จริง ๆ
เพราะการที่รอให้ฝีที่อยู่ภายในช่องท้องสุกงอมก่อน แล้วจึงค่อยถวายการผ่าตัดเท่ากับว่าปล่อยให้การอักเสบติดเชื้อที่เกิดจากเชื้อโรคนั้นดำเนินต่อไปเรื่อย ๆ โดยปราศจากการควบคุมและการติดเชื้อก็แพร่กระจายไปยังอวัยวะอื่น ๆ ในช่องท้อง และที่สำคัญที่สุดคือการติดเชื้อนั้นได้กระจายเข้าสู่กระแสโลหิตซึ่งหมายความว่า การติดเชื้อได้แพร่กระจายเข้าสู่อวัยวะต่าง ๆ ทั่วร่างกายทางกระแสโลหิตที่หล่อเลี้ยงอวัยวะนั้น ๆ (โดยทางการแพทย์ถือว่าภาวะโลหิตเป็นพิษมีความรุนแรงมากที่สุดภาวะหนึ่ง ผู้ป่วยมีโอกาสเสียชีวิตสูงมากหากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที – ผู้เขียน)
การรักษาอันดับแรกของภาวะโลหิตเป็นพิษก็คือการกำจัดสิ่งที่เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดภาวะนี้ออกไปเสียก่อน ซึ่งก็คือการเอาหนองที่ถุงแผลที่มีพระอันตะเลื่อนของพระองค์อยู่ จากนั้นจึงให้ยาปฏิชีวนะที่ครอบคลุมเชื้อ แต่เนื่องจากความเจริญทางการแพทย์ในขณะนั้นยังไม่มีการค้นพบยาปฏิชีวนะขึ้นมาในโลก จึงทำให้อัตราการเสียชีวิตของผู้ป่วยโรคนี้สูงมาก นอกจากนี้พระโรคเบาหวานก็ยังไม่ได้รับการรักษาด้วยยาอินซูลินอย่างเหมาะสม โดยปกติแล้วผู้ป่วยที่เป็นโรคเบาหวานมักจะมีภูมิต้านทานตํ่ากว่าคนปกติทั่ว ๆ ไป ทำให้ไม่สามารถต่อต้านเชื้อโรคได้ดีเท่าที่ควร โรคที่ไม่รุนแรงสำหรับคนปกติทั่ว ๆ ไปก็อาจรุนแรง
จมื่นมานิตย์นเรศได้กล่าวถึงพระอาการประชวรของพระองค์ในวันที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2468 ว่า “…วันที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2468 พระอาการหนักมากขึ้นอีก ถึงทรงแน่นิ่ง (โคม่า) นายแพทย์ถวายสวนนํ้าเกลือทางพระทวารหนัก [ช่องพระบังคนหนัก – ผู้เขียน] ต่อมาพระอาการค่อยดีขึ้น…” [5] ซึ่งต่างจากข้อมูลที่นายแพทย์เมนเดลสันได้เขียนว่า ได้ถวายสวนนํ้าเกลือทางช่องพระบังคนหนักเมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2468 และพระอาการประชวรของพระองค์ในวันที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2468 ดีขึ้น วันที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2468
พระอาการของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าฯ ทรงดีขึ้นมากและมีพระราชปรารภว่า ทรงมีความรู้สึกว่าพระอันตะเคลื่อนไหวในพระนาภีในเวลากลางคืน ไม่ทรงเจ็บปวด ความดันพระโลหิตปกติ ไม่ทรงมีไข้ มีแต่เพียงชีพจรเต้นเร็ว 112 ครั้งต่อนาที บริเวณพระนาภีอ่อนนุ่ม เหล่าแพทย์หลวงยกเว้นพระองค์เทวัญ (นายพลเรือตรีหม่อมเจ้าถาวรมงคลวงศ์ ไชยยันต์) พระยาอัพภันตราพาธพิศาล (กำจร พลางกูร) และนายแพทย์เมนเดลสัน เห็นว่า พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าฯ ทรงพ้นวิกฤตมาแล้ว
นอกจากนี้บุคคลสำคัญภายนอก เช่น เจ้าพระยายมราชเสนาบดีกระทรวงมหาดไทย พระยาประชาฯ อธิบดีกรมสาธารณสุขต่างก็แสดงความยินดีแก่นายแพทย์เมนเดลสัน โดยที่นายแพทย์เมนเดลสันทราบดีว่าพระอาการของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าฯ ที่ดีขึ้นนั้นเป็นเพียงการชั่วคราว [2]
วันที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2468
พระอาการของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าฯ เริ่มรุนแรงขึ้นอีกครั้ง โดยมีพระไข้อยู่ที่ 101-102 องศา ในเวลากลางคืนมีรายงานว่า พระบังคนเบามีนํ้าตาลเจือปนและมีสิ่งผิดปกติอื่น ๆ ด้วย นอกจากนี้พระองค์ทรงรู้สึกปวดที่บริเวณก้อนบริเวณพระอันตะ ในวันนั้นนายแพทย์เมนเดลสันได้ถวายนมเพิ่มและกราบบังคมทูลให้ทรงงดนํ้าผลไม้ พระอันตะไม่ได้ทำงานและการถวายการสวนทางพระบังคนหนักก็ไม่เป็นผล แต่แถลงการณ์ของสำนักพระราชวังกลับเขียนว่า “พระอาการของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงดีขึ้นอย่างช้า ๆ เป็นลำดับ พระอาการประชวรนั้นมีความหวังมากขึ้น พระอุณหภูมิอยู่ระหว่าง 100 และ 102 องศา พระชีพจรอยู่ระหว่าง 105 และ 112 พระอาการของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าฯ เริ่มดีขึ้นเป็นลำดับ” [2]
ดังนั้น เมื่อใดก็ตามที่เราอ่านบันทึกทางประวัติศาสตร์ เราควรจะต้องใช้วิจารณญาณอย่างรอบคอบที่สุดเท่าที่จะสามารถทำได้ เพราะบันทึกทางประวัติศาสตร์มักจะได้รับการเขียนโดยผู้ชนะหรือผู้มีอำนาจสูงสุดในขณะนั้น ดังนั้นบันทึกดังกล่าวจะต้องเป็นผลดีแกผู้มีอำนาจสูงสุดเท่านั้นโดยไม่คำนึงถึงความถูกต้องของข้อมูลนั้น ๆ
อย่างในกรณีพระประชวรของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าฯ นั้น ผมคิดว่า สำนักพระราชวังคงไม่ต้องการให้ประชาชนมีความตระหนกตกใจกับพระอาการที่ทรง ๆ ทรุด ๆ ของพระองค์ ก็เลยเขียนแบบไม่รุนแรงเอาไว้ก่อน และหากเราไม่พบบันทึกของนายแพทย์เมนเดลสันแล้วละก็ เราก็อาจไม่พบความจริงดังที่ผมได้กล่าวไปแล้ว
วันที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2468
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าฯ ทรงดูไม่กระปรี้กระเปร่า ทรงอยากเสวยพระกระยาหารมากขึ้น แต่ต้องจำกัดพระกระยาหารอย่างเข้มงวด[2] ไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับการตรวจร่างกายอื่น ๆ โดยสรุปพระอาการประชวรของพระองค์ไม่น่าจะดีขึ้นเมื่อเทียบกับวันที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2468 นายแพทย์เมนเดลสันได้บันทึกเพิ่มเติมในวันนี้ว่าพระยาอัพภันตราพาธพิศาล จบการศึกษาจากต่างประเทศมีความรู้เรื่องการแพทย์เป็นอย่างดีและไม่เคยสงสัยเกี่ยวกับข้อดีของการใช้อินซูลินและการถวายการผ่าตัดและก็ผิดหวังกับแพทย์หลวงเช่นเดียวกับนายแพทย์เมนเดลสันเอง
แพทย์หลวงส่วนใหญ่เป็นแพทย์อาวุโสที่มักจะจบการศึกษามานานแล้ว ประกอบกับเทคโนโลยีสารสนเทศในอดีตยังไม่ได้มีความเจริญเท่ากับในปัจจุบันนี้ ทำให้อาจจะไม่ค่อยมีโอกาสติดตามความก้าวหน้าทางวิชาการมากนักและไม่เชื่อในวิทยาการที่ทันสมัยกว่าในยุคที่ตนเองเป็นนักศึกษาแพทย์อยู่ ส่งผลให้พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าฯ ทรงสูญเสียโอกาสที่จะทรงหายประชวรในที่สุด
วันที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2468
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าฯ มีพระราชปรารภถึงความเจ็บปวดบริเวณที่เป็นก้อนตรงพระนาภีอีก ทรงถ่ายพระบังคนหนักเป็นมูกเลือดเล็กน้อยในช่วงกลางคืนและพระอาการที่อันตรายที่สุดคือ พระอันตะที่มีปัญหาเริ่มมีปฏิกิริยาโดยมีจุดดำที่แสดงถึงความตายของเนื้อซึ่งเกิดจากโรคเบาหวาน นายแพทย์เมนเดลสันเห็นควรให้เรียกประชุมสภาเจ้าเพื่ออธิบายถึงความหนักหนาของพระอาการ ซึ่งได้จัดมีขึ้น ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท
นายแพทย์เมนเดลสันกล่าวว่า หากไม่ได้มีการถวายการผ่าตัดโดยผ่านผนังช่องท้องน้อยบริเวณพระอันตะเพื่อระบายหนองบริเวณที่อักเสบ หนองก็จะขยายตัวออกมาบริเวณหนังช่องท้องและกระจายไปทั่ว ซึ่งพระองค์เทวัญและพระยาอัพภันตราพาธพิศาลสนับสนุนความเห็นนี้ของนายแพทย์เมนเดลสัน แต่มีแพทย์ชาวไทยคัดค้านอยู่ 1 คนโดยให้เหตุผลว่าไม่มีใครทราบว่าหมอที่ลอนดอนได้เคยทำอย่างไรกับพระอันตะของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าฯ เมื่อครั้งถวายการผ่าตัดพระอันตะติ่งคราวนั้น แต่ในที่สุดสภาเจ้าอนุมัติให้ผ่าตัดได้ในเวลาตีสาม [2]
ผมคิดว่าในบทความของนายแพทย์เมนเดลสันเขียนไว้คือ ตีสาม ซึ่งผมคิดว่าน่าจะมีความผิดพลาดเพราะเวลาตีสาม (03.00 น.) เป็นเวลาที่ไม่เหมาะสมแก่การผ่าตัดเนื่องจากเวลานี้ปกติเป็นเวลาที่คนเรานอนหลับพักผ่อน ผมคิดว่าน่าจะเป็นบ่ายสามโมง (15.00 น.) มากกว่า อาจเกิดความผิดพลาดจากการแปลจากต้นฉบับภาษาอังกฤษ ซึ่งก็ยืนยันโดยแถลงการณ์ของสำนักพระราชวังของวันที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2468 ที่บันทึกไว้ในบทความเดียวกันของนายแพทย์เมนเดลสัน[2] ว่า “…วันที่ 19 พ.ศ. 2468 เมื่อเวลาบ่าย 3 นาฬิกา ได้มีการถวายการผ่าตัดแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ผลเป็นที่น่าพอใจ…” [2]
พระอุณหภูมิก่อนผ่าตัดเท่ากับ 104 องศา พระชีพจรเต้น 112 ครั้งต่อนาที ซึ่งเมื่อถวายการผ่าตัดเปิดพระนาภีก็พบหนอง เศษพระบังคนหนักรวมทั้งพระอันตะที่ทะลุเป็นรูและหนองทะลุเข้าไปในช่องพระนาภี พระนาภีส่วนอื่นๆไม่มีหนองกระจายเนื่องจากมีเนื้อเยื่อมาขวางกั้นออกจากตำแหน่งของก้อนโป่งพองของพระอันตะที่แตกออก
นายแพทย์เมนเดลสันได้ถวายยาชา ตัดเศษเนื้อตายออก ได้ทำความสะอาดของเสียต่าง ๆ ที่อยู่ในช่องพระนาภี พระอันตะที่แตกทะลุเป็นหนองทะลุเข้าไปในช่องพระนาภีดังกล่าว ใส่ท่อระบายเข้าไปในพระอันตะเพื่อระบายออกภายนอกและปิดแผลเอาไว้ โดยใช้เวลาในการถวายการผ่าตัดประมาณ 30 นาที นายแพทย์เมนเดลสันคิดว่าพระโรคของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าฯ คือการอุดตันในพระอันตะ
ในช่วงเย็นวันนั้น พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าฯ มีพระอาการดี จากข้อมูลที่พบจากการผ่าตัดของนายแพทย์เมนเดลสัน แสดงให้เห็นว่าที่แตกน่าจะเป็นพระอันตะหรือพระอันตคุณ (ลำไส้เล็ก) ส่วนปลายๆ เนื่องจากมีเศษพระบังคนหนัก ซึ่งก็เข้าได้กับพระอาการเด่นคือท้องผูกมากกว่าคลื่นไส้ อาเจียน ดังที่ผมได้กล่าวไปแล้วในตอนต้นของบทความนี้ และการที่ไม่มีหนองกระจายไปยังพระนาภีส่วนอื่น ๆ เพราะว่ามีเนื้อเยื่อหรือพังผืด (adhesion) มาขวางกั้นออกจากตำแหน่งของก้อนโป่งพองของพระอันตะที่แตกออกทำให้พระอาการของพระองค์จำกัดเฉพาะที่ท้องน้อยด้านขวาบริเวณที่เป็นก้อนโป่งพอง
ข้อสรุปที่ได้หลังจากการผ่าตัดก็คือ มีการอุดตันของพระอันตะทำให้เป็นก้อนโป่งพอง การอุดตันนี้น่าจะเป็นแบบอุดตันบางส่วน แม้ว่าจะไม่ปรากฏข้อมูลเกี่ยวกับการถ่ายพระบังคนหนักของพระองค์อีกเลยนับตั้งแต่วันที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2468 เป็นต้นมา เพราะพระอาการของพระองค์ดีขึ้นเป็นพัก ๆ เมื่อมีการอุดตันทำให้เกิดการขาดเลือดที่ไปเลี้ยงผนังของพระอันตะที่อุดตันนี้ ทำให้ผนังบางส่วนขาดเลือดและตายไป ต่อมามีการติดเชื้อของผนังนี้ร่วมด้วยเนื่องจากโดยปกติแล้วในลำไส้ของคนปกติจะมีเชื้อโรคบางชนิดอาศัยอยู่ ประกอบกับที่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้า ฯ มีพระโรคเบาหวานอยู่แต่เดิมทำให้โอกาสเกิดการอักเสบติดเชื้อเกิดขึ้นได้โดยง่ายและมักรุนแรงกว่าคนปกติและผนังพระอันตะส่วนนี้ก็ทะลุในที่สุด
การโป่งพองของพระอันตะนั้นเป็นอาการที่บ่งบอกว่ามีการอุดตันในพระอันตะด้วยสาเหตุอะไรก็ตามแต่ แสดงว่าพระอันตะส่วนนี้น่าจะอยู่ในบริเวณถุงแผลนี้มานานพอสมควร อย่างน้อย ๆ น่าจะตั้งแต่วันแรก ๆ ที่มีพระอาการประชวรปวดพระนาภีและทรงพระอาเจียนเมื่อคืนวันที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2468 แต่เนื่องจากเป็นการอุดตันของพระอันตะแบบบางส่วน ทำให้พระอาการของพระองค์ดีขึ้นในบางครั้ง ดังนั้น ผมคิดว่าการวินิจฉัยของนายแพทย์เมนเดลสันนั้นถูกต้องแล้ว
ผมมีข้อสังเกตอีกอย่างคือ สภาเจ้ามีอำนาจสูงในการตัดสินใจของแพทย์หลวงในการถวายการรักษาพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าฯ ทั้ง ๆ ที่ไม่มีพระบรมวงศานุวงศ์พระองค์ใดที่เป็นสมาชิกของสภาเจ้าเป็นแพทย์เลยแม้แต่พระองค์เดียว ทำให้มีโอกาสเป็นไปได้สูงที่จะตัดสินใจผิดหรือล่าช้าในการถวายการรักษาพระองค์ได้ ซึ่งสุดท้ายก็เป็นเช่นนั้นจริง ๆ
วันที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ.2468
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าฯ ทรงรู้สึกพระองค์ดีขึ้นถึงกับทรงพระสรวลและตรัสว่า “หมอ หมอกำลังทำหน้าที่ของผู้หญิงอยู่ การเปลี่ยนผ้าไม่ใช่งานของหมอเลย” เมื่อทอดพระเนตรเห็นนายแพทย์เมนเดลสันกำลังดูแลพระองค์อยู่ ต่อมาเมื่อเวลา 4 ทุ่ม พระองค์ทรงเจ็บปวดที่แผลผ่าตัดและได้รับการถวายมอร์ฟีน 15 มิลลิกรัม [2] โดยทั่วไป หลังจากที่มีการเอาหนองออกแล้วผู้ป่วยมักจะมีอาการดีขึ้น แต่ภาวะโลหิตเป็นพิษที่ไม่ได้รับการรักษาอยู่นานกลับไม่ได้ดีขึ้นตามไปด้วยแต่อย่างใด
วันที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2468
พระอาการของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าฯ ทรงทรุดลง เนื้อเยื่อบริเวณที่บวมโตแยกตัวออกและส่วนที่เป็นเนื้อเยื่อขยายตัวออก แสดงว่าการติดเชื้อได้ลุกลามออกไปยังเนื้อเยื่อส่วนที่ยังดีอยู่เพราะว่าเนื้อเยื่อส่วนที่มีการติดเชื้อมีค่อนข้างมาก ในการถวายการผ่าตัดครั้งแรกนั้น นายแพทย์เมนเดลสันไม่สามารถตัดเนื้อตายได้ทั้งหมด เนื่องจากพระองค์มีพระกำลังไม่พอที่จะถวายยาสลบได้และใช้ยาชาเฉพาะที่เท่านั้น จึงเพียงเปิดแผลพอให้หนองออกได้เท่านั้น [3]
ในบทความของ อาจารย์หมอสุด แสงวิเชียร กล่าวว่า “…ในวันที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2468 นั้น (10 วันหลังจากทรงมีพระอาการ) พระอันตะและพระตจะทลุถึงกัน, เป็นแผลออกมาภายนอก และที่แพทย์ประจำพระองค์ทราบว่าทะลุก็เพราะว่า พระบังคนหนักไหลออกมาทางบาดแผล ที่ประชุมแพทย์จึงลงความเห็นว่าจะต้องถวายการผ่าตัด” [3] เป็นข้อมูลที่ต่างจากข้อมูลอื่น คือมีการแตกทะลุของพระตจะโดยมีพระบังคนหนักไหลออกมาและวันที่ถวายการผ่าตัด (วันที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ.2468) ช้ากว่าที่ปรากฏในหนังสือของนายแพทย์เมนเดลสัน [2] ถึง 3 วัน
วันที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2468
พระอาการของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าฯ ทรงไม่มีการเปลี่ยนแปลงมากนัก นอกจากเนื้อตายที่กำลังขยายตัวเพิ่มขึ้นไปอีก ในคืนนั้นมีพระอาการตกพระโลหิตจากแผลไม่มาก ซึ่งสามารถทำให้หยุดได้โดยง่ายโดยนายแพทย์เมนเดลสัน
วันที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2468
สิ่งมหัศจรรย์ที่บังเกิดขึ้นในวันนั้น คือพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าฯ ทรงสามารถประทับนั่งบนพระแท่นและทรงพระโอสถมวนซิการ์ร่วมกับเจ้าพระยารามฯ และตรัสว่าทรงรู้สึกสบายดีและทรงขอให้นายแพทย์เมนเดลสันอนุญาตให้ถวายพระกระยาหารแข็งแด่พระองค์ แต่ทรงได้รับอนุญาตเป็นพระกระยาหาร “กึ่ง” แข็งแทน [2]
แต่ในหนังสือที่เขียนโดยจมื่นมานิตย์นเรศ ที่พิมพ์ในหนังสือ “อนุสรณ์ ‘ศุกรหัศน์’” ได้ให้ข้อมูลที่แตกต่างออกไป คือ “…ต่อมาวันที่ 23 ปรากฏว่าพระอาการหนักอีก นายแพทย์ลงความเห็นว่าต้องถวายการเจาะพระบุพโพออก จึงได้ตามตัวนายแพทย์เมนเดลสันมาถวายการเจาะทำการเจาะเมื่อประมาณ 13.00 น. เสร็จ 16.00 น. ได้พระบุพโพเล็กน้อย เดรน [drain = ระบายนํ้าที่คั่งค้างอยู่ออก – ผู้เขียน] สายยางเข้าไปไว้ปลายท่อลงขวด พอดีพระบุพโพเต็มขวด นายแพทย์ต้องเปิดแผลอีก แต่พบด้วยความเศร้าสลดใจว่า ทรงเป็นแผลเนื้อร้ายมีพิษ [Grangrene= เนื้อเยื่อที่ตายแล้ว กำลังมีอาการอักเสบติดเชื้อและกำลังจะเน่าเปื่อย – ผู้เขียน]เสียแล้ว นายแพทย์เมนเดลสันบอกหมดหวัง พวกเราใจจะขาดไปตามกัน…” [5]
ส่วนในบทความของ อาจารย์หมอสุด แสงวิเชียร มีข้อความคล้ายคลึงกับที่จมื่นมานิตย์นเรศเขียน ซึ่งผมคิดว่าน่าจะนำมาจากแหล่งเดียวกัน ยกเว้นวันที่ถวายการผ่าตัดเป็นวันที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2468 แทน [3] และยิ่งเป็นที่น่าประหลาดใจมากที่หนังสือเรื่อง “ดวงแก้วแห่งพระมงกุฎเกล้า” ไม่ได้มีการเขียนถึงการผ่าตัดของนายแพทย์เมนเดลสันเลย โดยมีเพียงบันทึกไว้ว่า “…แม้ว่ามีการประชุมปรึกษาหารือเรื่องผ่าตัด แต่ก็ไม่มีใครกล้าตัดสินใจให้ลงมือ เมื่อดูพระอาการแล้วก็ไม่น่าไว้ใจว่าการผ่าตัดนั้นจะปลอดภัย…” [4]
ผมคิดว่า ถ้าพิจารณาจากแถลงการณ์สำนักพระราชวังลงวันที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2468 ที่เขียนว่า “…วันที่ 19 พ.ศ. 2468 เมื่อเวลาบ่าย 3 นาฬิกา ได้มีการถวายการผ่าตัดแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว…” [2] ผมคิดว่าข้อมูลของนายแพทย์เมนเดลสันน่าจะถูกต้องมากที่สุดน่าจะเกิดจากที่เขาอาจจะมีการเขียนบันทึกประจำวันหรือตัดเก็บข้อมูลไว้ เพราะว่าหนังสือที่เขาเขียนตีพิมพ์หลังจากที่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าฯ สวรรคตแล้ว 39 ปี และเขากลับไปอยู่ที่ประเทศสหรัฐอเมริกาแล้ว ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 7
วันที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2468
นายแพทย์เมนเดลสันได้ตัดเนื้อตายขนาดใหญ่ออกไปอีกและเขากังวลว่าเนื้อดีที่ยังอยู่บริเวณพระนาภีจะไม่สามารถมีกำลังห่อหุ้มพระอวัยวะภายในได้และอาจจะต้องพบกับการแตกทะลักออกมาของอวัยวะภายในได้2 แสดงว่าก่อนหน้านั้นหลังการผ่าตัดในวันที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2468 นายแพทย์เมนเดลสันคงจะตัดเนื้อตายออกไปบางส่วนแล้ว
ในวันนี้เอง พระวรราชเทวีมีพระสูติการเป็นพระราชธิดา เมื่อเวลา 12.55 น. องค์รัชทายาท (สมเด็จเจ้าฟ้าประชาธิปกฯ – ผู้เขียน) ได้ทรงถามนายแพทย์เมนเดลสันในช่วงก่อนที่พระวรราชเทวีจะมีพระสูติการว่า “หมอคิดว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะทรงมีพระชนม์ชีพได้นานเท่าไร นับเป็นชั่วโมงได้หรือไม่” ซึ่งเขาได้กราบบังคมทูลว่า “ข้าพเจ้าคิดว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะทรงมีพระชนม์ชีพอยู่ได้ไม่เกิน 48 ชั่วโมง” [2]
พระอาการของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าฯ ทรุดหนักลงมากในตอนเที่ยง ทรงได้ยินเสียงปืนใหญ่ยิงบอกเวลาที่เรียกว่าปืนเที่ยง ทรงปีติขึ้นมา เพราะทรงเข้าพระราชหฤทัยว่าเป็นเสียงยิงสลุตถวายเจ้าฟ้าชาย แต่เมื่อทรงทราบว่าไม่ใช่ เจ้าฟ้ายังไม่ประสูติ ก็ทรงนิ่งลงไปอีกจนกระทั่งทรงได้ยินเสียง
ชาวประโคมสังข์ แตร ปี่พาทย์ ตามราชประเพณี แทนเสียงยิงสลุต ก็ทรงทราบว่าเจ้าฟ้าประสูติใหม่เป็นพระราชธิดา [4]
นายแพทย์เมนเดลสันบันทึกเหตุการณ์ในช่วงเวลานั้นว่า “…พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีความรู้สึกว่าทรงหายเป็นปกติ พระองค์ทรงมีรับสั่งว่าพระองค์ทรงพอพระราชหฤทัย และถ้าหากจะมีพระสูติกาลครั้งต่อไปคงจะเป็นพระราชโอรส…แต่ราว ๆ 4 ทุ่มครึ่ง พระอาการของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงทรุดหนัก…” [2]
เขาตรวจพระอาการของพระองค์พบว่าพระชีพจรเต้นเร็วจนไม่สามารถนับได้เหมือนเดิมและมีแพทย์หนุ่มชาวสยามซึ่งแสดงตัวว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญทางโรคหัวใจได้ถวายพระโอสถเม็ดจำนวนหนึ่งแด่พระองค์ นายแพทย์เมนเดลสันได้พบว่าพระโอสถเม็ดดังกล่าวเป็นยาที่ทำให้ความดันโลหิตตํ่าลงซึ่งอาจก่อให้เกิดอันตรายกับการไหลเวียนของพระโลหิตของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าฯ เขาจึงสั่งให้หยุดการให้พระโอสถเม็ดดังกล่าวเสีย [2]
แม้ว่าพระอาการประชวรของพระองค์จะรุนแรงมากขนาดนี้ แต่แถลงการณ์สำนักพระราชวังได้เขียน [6] ไว้อย่างเบาบางอีกเช่นเคย ดังนี้ “…พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรรทมได้ดีพอสมควร แต่พระอาการยังไม่เป็นที่น่าพอใจ ได้ปรากฏมีลักษณะเกี่ยวกับปัญหาพระหทัยตลอด 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา อุณหภูมิ 102.2 และชีพจรเต้น 112/นาที อัตราการหายใจ 36 ครั้ง/นาที”
วันที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2468
นายแพทย์เมนเดลสันพบว่า พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าฯ มีพระอาการเกือบจะสวรรคตแล้ว สภาพของบาดแผลปรากฏอาการหนักมากจนเกินกว่าจะบรรยายได้ กลิ่นเหม็นในห้องประชวรมีมากแทบทนไม่ได้ [2] เขาได้กราบบังคมทูลถามพระองค์ว่าจะทรงต้องการทอดพระเนตรพระธิดาหรือไม่ พระองค์อ่อนแอกว่าที่จะตอบ แต่นํ้าพระเนตรได้ไหลซึมออกมาและทรงพยักพระพักตร์อันเป็นการแสดงพระราชประสงค์
และในที่สุดพระองค์ได้ทรงหันพระพักตร์มามองดูพระราชธิดาและทรงพยายามที่จะยกพระหัตถ์ขึ้นสัมผัสเจ้าฟ้าแต่ทรงยกไม่ขึ้น เจ้าพระยารามฯ จึงเชิญพระหัตถ์วางบนพระอุระพระราชธิดาพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าฯ ทรงหายพระทัยลำบากมากขึ้นและเสด็จสวรรคตเมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ.2468 เวลา 01.55 น.
ในเอกสารของทางราชการที่สำคัญอย่างราชกิจจานุเบกษา [8] เมื่อวันที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2468 ได้บันทึกเกี่ยวกับกรณีสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าฯ ว่า “ทรงพระประชวรพระโรคพระโลหิตเป็นพิษในพระอุทรมาตั้งแต่ 12 พฤศจิกายน พระพุทธศักราช 2468 นายแพทย์ทั้งฝ่ายอายุรแพทย์และศัลยแพทย์ได้ปฤกษาพร้อมกับรักษา แต่พระอาการหาคลายไม่ทรงบ้าง ทรุดบ้าง ครั้นถึงวันพฤหัศบดี เดือนอ้าย ขึ้น 11 คํ่า ปีฉลู ตรงกับวันที่ 26 พฤศจิกายน พระพุทธศักราช 2468 เวลา 1 นาฬิกา ก่อนเที่ยง สวรรคต ณ พระที่นั่งจักรพรรดิพิมาน พระชนมพรรษาเป็นปีที่ 46 เสด็จดำรงศิริราชสมบัติได้ 16 พรรษา”
ซึ่งก็ไม่ได้กล่าวไว้ชัดเจนว่ามีการถวายการผ่าตัดหรือไม่ แต่หากพิจารณาดูดี ๆ จะเห็นว่ามีคำว่า “ศัลยแพทย์” อยู่ด้วย นั่นก็คือเป็น การบอกเป็นนัย ๆ โดยอ้อมแทนที่จะบอกตรง ๆ ว่า น่าจะมีการถวายการผ่าตัดแน่นอนครับ
ผมมีข้อสังเกตจากการวิเคราะห์สาเหตุการสวรรคตพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าฯ 2 ประการ คือ
ข้อ 1 มีความแตกต่างของข้อมูลที่บันทึกโดยชาวไทยและชาวอเมริกัน โดยบันทึกของชาวไทยมีความแตกต่างกัน ตั้งแต่ว่าพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าฯ ไม่ได้รับการถวายการผ่าตัดเลย [4] กับอีก 2 เล่มกล่าวว่า นายแพทย์เมนเดลสันมาผ่าตัดในวันท้าย ๆ (22 [3] หรือ 23 [5] พฤศจิกายน พ.ศ. 2468) ในขณะที่บันทึกของนายแพทย์เมนเดลสันเขียนว่า เขาได้รับการร้องขอให้ถวายการรักษาพระองค์ตั้งแต่เมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน แต่เขาได้มีโอกาสตรวจพระอาการเมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2468 และได้ทำการถวายการผ่าตัดในวันที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2468 โดยมีแถลงการณ์ของสำนักพระราชวังยืนยันการผ่าตัดเมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2468 จริง
ผมสันนิษฐานว่า ความแตกต่างระหว่างข้อมูลของชาวไทยกับชาวอเมริกันน่าจะเกิดจากความรู้สึกผิด (guilty) ของข้าราชบริพารชาวไทย เนื่องจากคณะแพทย์หลวงไม่เห็นด้วยกับการวินิจฉัยโรคของนายแพทย์เมนเดลสันตั้งแต่แรก จึงเขียนให้นายแพทย์เมนเดลสันมาตรวจพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าฯ ในวันที่ 22 หรือ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2468 เลย เพื่อลดความรู้สึกผิดพลาดของคณะแพทย์หลวงและสิ่งที่น่าประหลาดใจมากก็คือ ในหนังสือ “ดวงแก้วแห่งพระมงกุฎเกล้า” ที่มีรายละเอียดเกี่ยวกับการผ่าตัดพระอันตะติ่งของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าฯ เมื่อครั้งทรงพระเยาว์มากกว่าเอกสารอื่น ๆ คือ กล่าวถึงการเย็บแผลที่เย็บเฉพาะที่ผิวชั้นนอก [4] แต่กลับไม่ได้เขียนถึงการผ่าตัดโดยนายแพทย์เมนเดลสันหรือแม้แต่เอ่ยชื่อของนายแพทย์เมนเดลสันเลยแม้แต่น้อย
อย่างไรก็ตามในหนังสือ “ดวงแก้วแห่งพระมงกุฎเกล้า” เล่มนี้ ได้กล่าวถึงพระประชวรครั้งสุดท้ายของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าฯ ว่า “…แม้ว่ามีการประชุมปรึกษาหารือเรื่องผ่าตัดแต่ก็ไม่มีใครกล้าตัดสินใจให้ลงมือ เมื่อดูพระอาการแล้วก็ไม่น่าไว้ใจว่าการผ่าตัดนั้นจะปลอดภัย…” [4]
ประกอบกับข้อความจากราชกิจจานุเบกษา [8] ที่กล่าวว่ามีศัลยแพทย์มาร่วมรักษากับอายุรแพทย์ หนังสือของนายแพทย์เมนเดลสัน [2] และบทความของ อาจารย์หมอสุด แสงวิเชียร [3] ที่กล่าวถึงการผ่าตัดอย่างชัดเจน ทั้ง ๆ ที่เอกสารอื่น ๆ กล่าวถึงนายแพทย์เมนเดลสันหมด โดยเฉพาะอย่างยิ่งหนังสือที่นายแพทย์เมนเดลสันเขียนไว้อย่างละเอียดทำให้ทราบว่าเขาได้ถวายการรักษาพระองค์ตั้งแต่วันที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2468 แม้ว่าจะได้รับอนุญาตให้ถวายการตรวจพระองค์เมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2468 ดังที่ได้กล่าวมาแล้วก็ตาม
นอกจากนี้ราชกิจจานุเบกษา [8] ก็ยังกล่าวว่ามีศัลยแพทย์มาร่วมถวายการรักษาพระองค์ร่วมกับอายุรแพทย์ด้วยแม้ว่าจะไม่มีการเอ่ยชื่อของนายแพทย์เมนเดลสันก็ตาม โดยหลักฐานดังที่ได้กล่าวไปแล้วนี้ทำให้ผมเชื่อมั่นในข้อมูลของนายแพทย์เมนเดลสัน [2] มากที่สุด
ผมคิดว่า เราควรให้ความเป็นธรรมแก่นายแพทย์เมนเดลสัน ซึ่งได้ถวายการรักษาแด่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าฯ จริง ท่ามกลางความขัดแย้งในการรักษากับคณะแพทย์หลวงส่วนใหญ่ แม้ว่าผลสุดท้ายพระองค์เสด็จสวรรคตในที่สุด แต่เขาได้ทำให้พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้า ฯ ได้ทรงสัมผัสกับความรู้สึกของคนที่เป็นพอแม้ว่าจะเป็นช่วงเวลาอันสั้นก็ตามที และหากนายแพทย์เมนเดลสันไม่ได้เขียนหนังสือ I lost a king เราจะไม่มีทางทราบถึงเบื้องหลังการถวายการรักษาพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าฯ เลย
ประวัติศาสตร์มักจะถูกกำหนดโดยผู้มีอำนาจเพื่อมิให้เกิดความเสียหายแก่ผู้มีอำนาจ แต่ผมคิดว่าหากเป็นไปได้ควรจะต้องเขียนตามความเป็นจริงที่สุดจะดีมากครับ เราอาจจะประณามนายแพทย์เมนเดลสันที่ไม่ยอมมาทำการตรวจรักษาพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าฯ ตั้งแต่เมื่อคืนวันที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2468 เพราะเพิ่งกลับจากเต้นรำ แต่มาตรวจในเช้าวันที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2468 แทน [3]
ผมคิดว่าหากสามารถย้อนเวลากลับไปได้ไปในวันที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2468 หลังจากที่นายแพทย์เมนเดลสันได้ตรวจพระอาการและวินิจฉัยว่า พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าฯ ทรงพระประชวรเนื่องจากพระโรคเบาหวานกำเริบและเนื่องจากพระโลหิตเป็นพิษซึ่งเป็นผลจากมีการอุดกั้นของทางเดินอาหารในพระอันตะและแนะนำว่าจะต้องถวายการผ่าตัด
หากคณะแพทย์หลวงเห็นด้วยและสภาเจ้าอนุมัติให้ถวายการผ่าตัดได้ ผมคิดว่าพระองค์ทรงมีโอกาสที่จะหายจากพระประชวรครั้งนี้ค่อนข้างมากเนื่องจากพระอาการต่าง ๆ ยังเพิ่งเริ่มเป็น แต่การผ่าตัดเมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2468 ซึ่งล่าช้าไปอีกถึง 5 วัน ทำให้โอกาสที่ดีที่เคยมีอยู่นั้นหมดสิ้นไปเสียแล้ว และหากพระองค์ทรงหายจากพระประชวรครั้งนี้ ผมคิดว่าประวัติศาสตร์ชาติไทยน่าจะมีการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีกว่าในปัจจุบันนี้ก็เป็นได้
ข้อ 2 พระยาแพทย์พงศาวิสุทธาธิบดี (สุ่น สุนทรเวช) ได้ถูกนำมาอ้างอิงว่าเป็นแพทย์หลวงผู้วินิจฉัยว่า พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าฯ ทรงพระประชวรจากแผลที่พระอันตะ ต้องรีบทำการผ่าตัดภายใน 8 ชั่วโมง ในขณะที่แพทย์หลวงท่านอื่น ๆ วินิจฉัยว่าพระอาการเกิดจากพระวักกะ (ไต) และมีปากเสียงกันอย่างรุนแรง จนสุดท้ายต้องขอให้พระยาแพทย์พงศาฯ ลงชื่อด้วย แต่จะมีหมายเหตุไว้ข้างท้ายว่า พระยาแพทย์พงศาฯ ไม่เห็นพ้องด้วย พระยาแพทย์พงศาฯ จึงจะยอมลงชื่อด้วย
อย่างไรก็ตาม แถลงการณ์สำนักพระราชวังเกี่ยวกับพระอาการประชวรของพระองค์คราวนี้ไม่เคยมีการลงนามของพระยาแพทย์พงศาฯ เลย ดังที่กล่าวในบทความของ อาจารย์หมอสุดแสงวิเชียร [3] นอกจากนี้ แต่ปรากฏว่าในแถลงการณ์สำนักพระราชวังในวันที่ 12 พฤศจิกายน กล่าวว่า “…คณะแพทย์มีความเห็นว่า ยังตรวจไม่พบพระอาการแสดงของการอุดตันในพระอันตะและพระอาการของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเกิดเนื่องจากการหดเกร็งของพระอันตะ ซึ่งมีสาเหตุจากการรบกวนของอาหารซึ่งไม่ย่อย” [2]
แถลงการณ์สำนักพระราชวังในวันที่ 12 พฤศจิกายนนี้ บ่งบอกว่าน่าจะมีการอภิปรายกันถึงภาวะอุดตันในพระอันตะของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าฯ ถึงได้เขียนว่ายังตรวจไม่พบพระอาการของการอุดตันในพระอันตะดังกล่าว ผมจึงไม่แน่ใจว่าพระยาแพทย์พงศาฯ มีความเห็นอย่างไรในการถวายการรักษาพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าฯ เพราะว่าในหนังสือของนายแพทย์เมนเดลสัน [2] และ “พระบาทสมเด็จพระรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราวุธ พระมงกุฎเกล้าเจ้าแผ่นดินสยาม” ของ คุณวรชาติ มีชูบท [1] ไม่ได้มีการเอ่ยนามของพระยาแพทย์พงศาฯ เลยแม้แต่ครั้งเดียว มีแต่บทความเรื่องศิษย์เก่าราชแพทยาลัยกับกรณีสวรรคตของล้นเกล้ารัชกาลที่ 6 ที่อาจารย์หมอสุด แสงวิเชียร [3] ได้เขียนไว้ในสารศิริราช ดังที่ได้กล่าวไปแล้ว และหนังสือ “ดวงแก้วแห่งพระมงกุฎเกล้า” [4] ของ คุณหญิงวินิตา ดิถียนต์ และ คุณชัชพล ไชยพร เขียนถึงพระยาแพทย์พงศาฯ ว่าเป็นหนึ่งในคณะแพทย์ที่ถวายการรักษาพยาบาลพระองค์และเฝ้ารอถวายพระประสูติการพระหน่อกษัตริย์ (สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดาฯ – ผู้เขียน)
ในหนังสือของนายแพทย์เมนเดลสัน ได้กล่าวถึงแพทย์ชาวไทยหลายคน เช่น พระยาดำรงแพทยาคุณ (ชื่น พุทธิแพทย์) พระองค์เทวัญ (นายพลเรือตรี หม่อมเจ้าถาวรมงคลวงศ์ ไชยยันต์) ซึ่งเป็นศัลยแพทย์แห่งกองทัพเรือ แพทย์หนุ่มชาวสยามที่เพิ่งกลับมาจากอังกฤษ แพทย์หนุ่มชาวสยามอีกคนที่แสดงตัวว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญทางโรคหัวใจโดยไม่ได้ระบุชื่อ และพระยาอัพภันตราพาธพิศาล แต่กลับไม่ได้มีการเอ่ยนามของพระยาแพทย์พงศาฯ ทั้ง ๆ ที่ท่านเป็นแพทย์หลวงประจำพระองค์และเป็นขุนนางชั้นระดับพระยาเลย ซึ่งผมคิดว่านายแพทย์เมนเดลสันน่าจะต้องรู้จักพระยาแพทย์พงศาฯ เป็นอย่างดี
โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากพระยาแพทย์พงศาฯ มีความเห็นเหมือนกับนายแพทย์เมนเดลสันแล้วละก็เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะไม่เอ่ยชื่อของพระยาแพทย์พงศาฯ ในหนังสือของเขาเพื่อยืนยันการวินิจฉัยของเขาอย่างแน่นอน
ผมจึงขอตั้งข้อสังเกตว่าพระยาแพทย์พงศาฯ อาจจะถูกอุปโลกน์และยกย่องให้เป็นพระเอกของเรื่องแทนที่จะเป็นนายแพทย์เมนเดลสันซึ่งถูกแปลงบทบาทให้เป็นผู้ร้ายในฐานะที่ไม่ยอมมาถวายการตรวจรักษาพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าฯ ในเวลากลางคืนหลังจากกลับจากงานเต้นรำ ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นจึงถือว่าขาดจริยธรรมการแพทย์ในการไม่ไปดูผู้ป่วยกรณีฉุกเฉิน แต่ผลัดไปดูเช้าวันรุ่งขึ้นแทน โดยยังไม่นับเรื่องที่ให้นายแพทย์เมนเดลสันมาถวายการผ่าตัดพระองค์ในวันที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2468 [3] แทนที่จะเป็นวันที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ.2468 [2] ซึ่งนับว่าสร้างความเสื่อมเสียแก่นายแพทย์เมนเดลสันมากหากเรื่องนี้ไม่เป็นความจริง
สุดท้าย ผมขอสรุปเหตุการณ์กรณีสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าฯ ดังนี้ เมื่อคืนวันที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2468 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าฯ ทรงเกิดพระอันตะหรืออาจเป็นพระอันตคุณส่วนปลาย ๆ ที่อยู่ใกล้กับพระอันตะ (เพราะพบพระบังคนหนักในการผ่าตัดเมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2468) เข้าไปในกระเปาะเหมือนดังที่เคยเป็นอยู่นานมาแล้ว
แต่คราวนี้เกิดการอุดตันของพระอันตะ จนทำให้เส้นเลือดที่เลี้ยงพระอันตะอุดตันชั่วคราว และทำให้เกิดการอักเสบติดเชื้อของพระอันตะส่วนนั้น เนื่องจากพระองค์ที่เป็นโรคเบาหวานที่กำเริบขึ้น ในขณะที่การอุดตันของพระอันตะเป็นแบบบางส่วน (Partial) จึงหายเองได้และอาจกลับมาอุดตันอีกในเวลาต่อมาและพระโรคเบาหวานได้รับการถวายการรักษาโดยการสวนของเหลวในช่องพระบังคนหนัก (ซึ่งเป็นการรักษาตามอาการที่มีการขาดนํ้าอย่างรุนแรง ไม่ได้เป็นการรักษาพระโรคเบาหวานอย่างแท้จริงซึ่งจะรักษาโดยยาอินซูลิน เพราะแพทย์หลวงหลายท่านไม่เห็นด้วย)
แต่ทว่าการอักเสบติดเชื้อของพระอันตะยังคงดำเนินต่อไปและเกิดเป็นหนองและแตกทะลุพระอันตะเข้าไปในช่องพระนาภีในที่สุด พระอาการของพระองค์ดีขึ้นชั่วคราวอีกครั้งหลังจากที่ได้ระบายหนองออกจากการผ่าตัดและใส่ท่อระบายไว้
แต่การอักเสบติดเชื้อก็ยังคงดำเนินต่อไปเนื่องจากในสมัยนั้นยังไม่มียาปฏิชีวนะที่ดีเหมือนสมัยนี้ ประกอบกับพระโรคเบาหวานที่ไม่ได้รับการรักษาด้วยยาที่มีประสิทธิภาพดี เช่น ยาอินซูลิน ทำให้การอักเสบติดเชื้อรุนแรงมากขึ้น จนกระทั่งเกิดภาวะการติดเชื้อในกระแสเลือด (Septicemia) ซึ่งถือว่าเป็นการติดเชื้อที่รุนแรงที่สุดชนิดหนึ่งและเป็นเหตุให้พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าฯ สวรรคตในที่สุด เมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2468
สำหรับผู้ชื่นชอบประวัติศาสตร์ ศิลปะ และวัฒนธรรม แง่มุมต่าง ๆ ทั้งอดีตและร่วมสมัย พลาดไม่ได้กับสิทธิพิเศษ เมื่อสมัครสมาชิกนิตยสารศิลปวัฒนธรรม 12 ฉบับ (1 ปี) ส่งความรู้ถึงบ้านแล้ววันนี้!! สมัครสมาชิกคลิกที่นี่**
บรรณานุกรม :
[1] วรชาติ มีชูบท. พระบาทสมเด็จพระรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราวุธพระมงกุฎเกล้าเจ้าแผ่นดินสยาม. พิมพ์ครั้งที่ 2. กรุงเทพฯ : สร้างสรรค์บุ๊คส์, 2553.
[2] ทวีศิลป์ สืบวัฒนะ, อภิชาติ ฉวีกุลรัตน์. “I lost a king,” ใน วชิราวุธานุสรณ์สาร. ปีที่ 13 ฉบับที่ 1 (มกราคม 2537), น.114-141.
[3] สุด แสงวิเชียร. “ศิษย์เก่าราชแพทยาลัยกับกรณีสวรรคตของล้นเกล้ารัชกาลที่ 6,” ใน สารศิริราช. ปีที่ 34 ฉบับที่ 2 (กุมภาพันธ์ 2525), น. 103-106.
[4] วินิตา ดิถียนต์, คุณหญิง, ชัชพล ไชยพร. ดวงแก้วแห่งพระมงกุฎเกล้า. พิมพ์ครั้งที่ 1. กรุงเทพฯ : อักษรโสภณ, 2550.
[5] ศุกรหัศน์ (จมื่นมานิตย์นเรศ (เฉลิม เศวตนันทน์)). อนุสรณ์ “ศุกรหัศน์”. (เนื่องในงานพระราชทานเพลิงศพ เสวกโท จมื่นมานิตย์นเรศ (เฉลิม เศวตนันทน์) ณ วัดมกุฏกษัตริยาราม 20 มกราคม 2511). พระนคร : โรงพิมพ์มหามกุฏราชวิทยาลัย, 2511.
[6] Agur AMR, Lee MJ. Grant’s atlas of anatomy. Baltimore: Williams & Wilkins, 1991, pp. 77-146.
[7] Tavakkolizadeh A, Whang EE, Ashley SW, Zinner MJ. Small bowel obstruction. In : Brunicardi FC, Anderson DK, Billiar TR, Dunn DL, Hunter JG, Matthews JB, Pollock RE, editors. Schwartz’s principle of surgery. 9th ed. New York : Mc Graw Hill Medical, 2010, pp. 988-992.
[8] ราชกิจจานุเบกษา 6 ธันวาคม 2468 เล่ม 42 น. 2703
หมายเหตุ : คัดเนื้อหาจากบทความ “ประวัติศาสตร์วิเคราะห์ : กรณีสวรรคต พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว” เขียนโดย ผศ.นพ. เอกชัย โควาวิสารัช (ตำแหน่งในเวลานั้น) ในศิลปวัฒนธรรม ฉบับมกราคม 2555
เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 27 ธันวาคม 2561
TKJ หนองเรือ ขอบคุณครับ
17 ส.ค. 2562 เวลา 10.25 น.
Aye 🌺🌿 ขอบคุณผู้เขียนอย่างสูงค่ะ ได้ความรู้และรายละเอียดดีมากๆ น่าเสียดายที่การแพทย์ยังไม่เจริญ เราชาวไทยจึงต้องสูญสิ้นพระองค์ไป..
17 ส.ค. 2562 เวลา 17.01 น.
Anucha ได้ความรู้มากมายครับ ทั้งประวัติศาตร์และวิชาการ
ขอบคุณคุณหมอมาก
03 ส.ค. 2564 เวลา 17.03 น.
Kunchit มั่วตลอด
25 พ.ย. 2563 เวลา 13.31 น.
Tom ใครไม่เคยอ่านขอแนะนำหนังสือ”นายใน ร.6” เมื่อราชสำนักไม่มี”นางใน”แต่มี”นายใน”แทน
28 ธ.ค. 2561 เวลา 01.59 น.
ดูทั้งหมด