นักวิทยาศาสตร์จำเป็นต้องแข่งกับเวลาที่กระชั้นชิดยิ่งนักเพื่อหยุดยั้งไวรัสโรโคนา 'COVID-19' (โควิด ไนน์ทีน) ที่แม้ผ่านมาหลายเดือนแล้ว แต่เชื้อไวรัสกลับยังไม่มีทีท่าอ่อนแรงลง แถมยังคงสร้างความหวาดกลัวแพร่ระบาดอย่างต่อเนื่องไปยังทวีปต่างๆ
ในทุกวันมีอัตราผู้เสียชีวิตระดับหลายร้อยราย ทำให้ภารกิจพัฒนาวัคซีนพิชิต COVID-19 เป็นแผนวิจัยเร่งด่วนระดับ A must ของหลายๆ สถาบัน โดยเฉพาะสถาบันวิทยาศาสตร์ในสาธารณรัฐประชาชนจีนซึ่งเป็นพื้นที่ได้รับผลกระทบหนักหน่วงที่สุด นี่จึงเป็นการบังคับโดยกลายๆ ว่าต้องผลักดันงบวิจัยพัฒนาวัคซีน เป็นการจัดระดมทุนอย่างเร่งด่วนในระดับนานาชาติ เพราะเราปฏิเสธไม่ได้ว่างบประมาณทุนวิจัยก็ยังเป็นหัวใจสำคัญที่จะขับเคลื่อนองคาพยพ
มหาเศรษฐีชาวจีน แจ็ค หม่า (Jack Ma) ผู้ก่อตั้ง Alibaba Group ตั้งงบประมาณเพื่อการวิจัยวัคซีนด้วยจำนวนเงินมากถึง 14 ล้านเหรียญสหรัฐ สนับสนุนสถาบันวิจัยในจีนเพื่อพัฒนาวัคซีนรักษา COVID-19 แบบเร่งด่วน ในขณะเครือสหภาพยุโรปบริจาคเงินจำนวน 20 ล้านยูโรให้กับหน่วยงานใดก็ตามที่มีส่วนร่วมพัฒนาวัคซีนจนกระทั่งใช้จริงได้
ยิ่งในสถานการณ์เร่งด่วนเช่นนี้ หากใครพัฒนาวัคซีนสำเร็จก็นับเป็นการฉายแสงแห่งความหวังให้กับมวลมนุษย์ และบ่งบอกถึงศักยภาพในการทำลายขีดจำกัดวิทยาการภูมิคุ้มกันของสถาบันวิจัยนั้นๆ ว่ารุดหน้ากว่าที่อื่นๆ เพราะยิ่งโจทย์ยากเท่าไหร่ งานวิจัยยิ่งสร้าง impact factor ได้มากเท่านั้น
ก้าวต่อไปของวัคซีน
เมื่อเกิดการระบาดของโรค สิ่งที่ต้องตั้งคำถามเป็นระดับต้นๆ คือ เรามีวัคซีนเพื่อกำจัดเชื้อดังกล่าวหรือไม่? ในกรณี COVID-19 นั้นมีการนำวัคซีนที่ใช้รักษาโรคโคโรนาไวรัสสายพันธุ์กลุ่มอาการทางเดินหายใจเฉียบพลันรุนแรงหรือ SARS มาปรับใช้รักษาผู้ป่วย ดังนั้นการใช้วัคซีนเทียบเคียงจากสิ่งที่มีอยู่จึงต้องทำพร้อมๆ กับพัฒนาวัคซีนชนิดใหม่ หลายสถาบันคาดว่าอาจใช้เวลาไม่น้อยกว่า 1 ปี จึงจะได้วัคซีนที่พร้อมใช้ทดลองในมนุษย์เพื่อรักษาไวรัส COVID-19 โดยเฉพาะ
ในระหว่างนี้ยังมีข่าวดีมาเป็นระยะว่า ยารักษาโรคบางประเภทที่แพทย์มีอยู่ในมือนั้นสามารถปรับใช้เพื่อรักษาโรคไวรัส COVID-19 ได้ผลระดับหนึ่ง หนึ่งในนั้นคือการใช้ยากระตุ้นภูมิคุ้มกัน (antibodies) โดยทำให้เซลล์ภูมิคุ้มกันจะไปจับกับไวรัสและทำลายกลไกที่คุกคามร่างกาย ซึ่งระบบภูมิคุ้มกันร่างกายของคุณจะต้องได้รับยากระตุ้นนี้อย่างน้อย 2 สัปดาห์ก่อนที่จะไปมีปฏิสัมพันธ์กับเชื้อ COVID-19 กระบวนการนี้เร่งให้เร็วขึ้นได้โดยการฉีดสารภูมิต้านทานที่เลี้ยงและพัฒนาขึ้นในห้องทดลอง และต้องมีการตรวจระดับภูมิคุ้มกันอย่างสม่ำเสมอ จนกระทั่งร่างกายมีความพร้อมจะรับมือกับไวรัสได้
การใช้ศาสตร์ด้านภูมิคุ้มกันมีแนวโน้มในเชิงบวกมากกว่าวิธีการอื่นๆ เพราะไม่ส่งผลข้างเคียงให้กับผู้ป่วย เนื่องจากภูมิคุ้มกันจะเข้าไปจับกับไวรัสโดยตรงเท่านั้น ซึ่งเป็นวิธีการที่น่าสนใจอันดับต้นๆ แต่ในโอกาสก็มาพร้อมด้วยปัญหา แม้ว่าเราจะสามารถทำได้ในระดับห้องปฏิบัติการ (Lab scale) แต่เมื่อต้องทำในปริมาณเยอะๆ สำหรับใช้กับประชาชนคราวละมากๆ (mass-producing) สิ่งนี้ยังคงเป็นอุปสรรค เพราะกระบวนพัฒนาภูมิคุ้มกันนั้นใช้เวลาพอสมควร ต้องมีเครื่องมือเครื่องไม้ที่ดี และต้องการทรัพยากรค่อนข้างสูง
ทีมวิจัยจากมหาวิทยาลัย Fudan University ในเซี่ยงไฮ้ ประเทศจีน คาดการณ์ว่าการเตรียม antibodies นั้นมีความละเอียดอ่อนซับซ้อน อาจจะต้องใช้เวลานานเพื่อการวิจัยแต่ละครั้งนานถึง 2 เดือนเพื่อที่จะมีปริมาณเพียงพอสำหรับทดสอบในสัตว์และมนุษย์ ระหว่างนี้บริษัทยายักษ์ใหญ่ในสหรัฐอเมริกา Regeneron ได้ทดสอบ antibodies อีก 2 ชนิดที่เคยรักษาโรคทางเดินหายใจตะวันออกกลาง MERS-CoV (เมอร์ส-คอฟ) ได้ผลดี และนำมาปรับใช้กับ COVID-19 โดยบริษัทนี้เคยมีผลงานเด่นๆ คือการพัฒนา antibodies สำหรับโรค Ebola จนสามารถทดสอบในมนุษย์ได้โดยใช้เวลาเพียงแค่ 6 เดือนเท่านั้น
ส่วนบริษัทยาในจีน WuXi Biologics ก็มีความพร้อมที่จะทุ่มเททรัพยากรไปยังการพัฒนา antibodies แบบขนานใหญ่ที่ได้ขนทีมวิจัยกว่า 100 ชีวิตมุ่งเป้าไปที่ภารกิจเดียว ซึ่งคาดว่าภายในเวลา 5 เดือนน่าจะได้ผลการทดลองที่ชัดเจนยิ่งขึ้น อย่างไรก็ตามการผลิต antibodies จำนวนมากๆให้กับผู้ป่วยติดเชื้อและผู้ป่วยที่เฝ้าระวังจำเป็นต้องอาศัยการร่วมมือของโรงงานยาเอกชน ที่มีความเชี่ยวชาญด้านภูมิคุ้มกัน ซึ่งมีอยู่ค่อนข้างน้อย หลายบริษัทก็ยุ่งอยู่กับการผลิต antibodies สำหรับโรคมะเร็งและโรคอื่นๆ
เราทำให้เร็วได้กว่านี้ไหม?
บริษัทยาอีกแห่งในสหรัฐอเมริกา RenBio มีอีกวิธีการที่ค่อนข้างล้ำหน้าโดยใช้เทคนิค gene editing ที่สามารถฉีดกระตุ้นภูมิคุ้มกันไปยังกล้ามเนื้อขา รอเวลา 2-3 สัปดาห์ เพื่อให้ร่างกายมีกระบวนการสร้างภูมิคุ้มกันต่อต้านเชื้อ COVID-19 ซึ่งสามารถฉีดให้กับผู้ที่ยังไม่ติดเชื้อให้มีภูมิคุ้มกันก่อนเนิ่นๆ หรือจะใช้รักษาผู้ที่ป่วยอยู่แล้ว แต่วิธีการนี้อยู่ในขั้นทดลองในสัตว์เท่านั้น ยังไม่มีการทดลองจริงในมนุษย์
อีกวิธีการคือ ใช้ศาสตร์ด้านชีววิทยาศาสตร์โมเลกุลเพื่อพัฒนาอนุพันธ์ที่มีประสิทธิภาพในการก่อกวนโปรตีนของไวรัส COVID-19 ทำให้หมดพิษสง วิธีการนี้มีข้อดีที่ หากค้นพบอนุพันธ์สำคัญได้จะสามารถนำเข้าสู่กระบวนการผลิตได้รวดเร็ว อัดเป็นเม็ด เก็บรักษาง่าย ใช้สะดวกเหมือนยาเม็ดทั่วไป แต่อุปสรรคใหญ่คือ โมเลกุลเหล่านี้พอเข้าสู่ร่างกายแล้วประสิทธิภาพมักลดลง ทีมวิจัยของจีนได้คัดสรรยาที่จัดเป็น 'แคนดิเดด' น่าสนใจ 4 ตัว คือ prulifloxacin, bictegravir, nelfinavir และ tegobuvir นอกจากนี้ยังมี lopinavir และ ritonavir ที่ใช้รักษาโรค HIV ก็มีแนวโน้มจะรักษาผู้ป่วยจาก COVID-19 ได้
โดยยาทั้งหมดเริ่มมีการทดลองแล้วในการรักษาผู้ป่วยชาวจีน รายงานล่าสุดยาต้านไวรัส Favilavir ได้รับความเห็นชอบจากสำนักงานบริหารผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์แห่งชาติของจีน ให้ใช้ทดลองรักษาผู้ป่วย 70 รายในเมืองเสิ่นเจิ้นและเมืองใกล้เคียง คาดว่าภายใน 2 เดือนน่าจะได้ผลเชิงบวกที่น่าสนใจต่อประชาคมโลกต่อไป
COVID-19 เป็นปรากฏการณ์ระดับโลกที่ทุกคนเฝ้าติดตาม การแข่งขันทางด้านวิทยาศาสตร์ต่อจำนวนผู้ติดเชื้อที่เพิ่มมากขึ้น เป็นสัญญานว่าเราจะพบจุดสมดุล ณ จุดใด COVID-19 เป็นเพียงอุปสรรคที่ท้าทายจุดหนึ่งในหน้าประวัติศาสตร์เท่านั้น ยังมีโรคที่เราไม่รู้จักอีกมาก ที่จะเปลี่ยนการแข่งขันนี้ดำเนินไปอย่างไม่รู้จบ
อ้างอิงข้อมูลจาก
In The Fight Against COVID-19, Labs Look To Create Coronavirus Antibodies
China approves first anti-viral drug against coronavirus Covid-19
The genetic shortcut to antibody drugs
Illustration by Kodchakorn Thammachart
Teerawat สู้สู้
20 ก.พ. 2563 เวลา 00.09 น.
Yuth456 เป็นการกดดันหรือตำหนิหรืออะไร ในกพาดหัวข่าว มันต้องทดลองไหม นำออกมาใช้ๆไป เกิดปัญหาใครซวย พูดนะง่ายฟังนะยาก
20 ก.พ. 2563 เวลา 00.26 น.
npairat โพสหัวข่าวได้สิ้นคิดสุดๆ ของแบบนี้ไปเร่งให้มันออกมาแบบลวกเหรอไง
20 ก.พ. 2563 เวลา 02.07 น.
Nira 🔺🔻🔺🔻🔺🔻🔺🔻🔺🔻🔺🔻
⁉️⁉️⁉️ประกาศค่ะ⁉️⁉️⁉️
👤รับสมัครคนช่วยงานตอบแชทลูกค้าผ่านเฟส/ไลน์
รายได้สัปดาห์ละ 4000-5000 บาท📱ทำผ่านมือถือได้📱
รับอายุ18 ปีขึ้นไป 🔸อยู่กรุงเทพปริมณฑลรับเป็นพิเศษ🔸
สนใจงานแอด📱LINE ID : @153lawtz (ใส่@ด้วยค่ะ)
🔺🔻🔺🔻🔺🔻🔺🔻🔺🔻🔺🔻
20 ก.พ. 2563 เวลา 01.01 น.
.-. อิน ทาม
20 ก.พ. 2563 เวลา 00.45 น.
ดูทั้งหมด