ปีใหม่นี้ผมเพิ่งเปลี่ยนผ้าม่านใหม่ พร้อมกับเพิ่งซักพรมสีขาวในห้องรับแขกเสร็จครับ มันเป็นความผิดพลาดในชีวิตอย่างมากที่ใจกล้าจนถึงขั้นบ้าที่คิดผิดสั่งพรมปูพื้นบ้านเป็นสีขาวได้ เพราะของแบบนี้แค่วางไว้เฉย ๆ ก็ดำเปื้อนง่ายอยู่แล้ว ยิ่งมีสารพัดเท้าช่วยกันมาเหยียบย่ำรายวันเข้าไปอีกนั้น เห็นแล้วมันช่างเจ็บหัวใจคนรักบ้านอย่างอั๋นเสียจริง
“ถอดรองเท้าก่อนสิครับ!”
“ถุงเท้าสะอาดหรือเปล่า!”
“แกไปล้างเท้าก่อนเข้าบ้านเลย!”
“นั่งอย่าเอาขาขึ้นมาบนโซฟาสิ!”
“อย่าปล่อยให้น้องหมาเข้าบ้านโดยไม่เช็ดเท้าให้สะอาดก่อนนะ”
เหล่านี้คือประโยคที่คนในครอบครัวและเพื่อน ๆ ผมคุ้นชิน เพราะได้ยินผมพร่ำบ่นเป็นประจำ
จนมีครั้งหนึ่งที่พี่ชายผมถึงกับเคยถามลอย ๆ แสกหน้าผมว่า
“นี่ตกลงซื้อพรม สั่งโซฟาพวกนี้มานั่ง หรือเอามันมาแบกไว้บนหัวกันแน่นะ”
“แหม… คิดจะใช้ของดีก็ต้องรู้จักวิธีใช้กันหน่อยซิจ๊ะ” ผมตอบทำตลกขำ ๆ ไปแต่จริง ๆ แล้วคำพูดเหล่านี้มันตำหัวใจผมอยู่เสมอ
ปีนี้น้องพอลอายุเกือบสองขวบแล้ว
กำลังพูดเก่งวิ่งเก่งมาก ๆ เชียว เช้าวันนี้ก็เช่นกัน น้องพอลพูดเสียงดังสั่งให้ทุกคนเปิดประตูบ้านเพื่อจะได้ออกไปวิ่งเล่นที่สนามหญ้า สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือทันทีที่น้องพอลวิ่งออกจากประตูไปพร้อมกับพี่เลี้ยง น้องหมาตัวใหญ่ใจดีพันธุ์ไซบีเรียนฮัสสกี้ที่เลี้ยงไว้นอกบ้านก็วิ่งสวนเบียดเข้ามาในบ้านทันที แดดดี้อั๋นซึ่งเดินตามหลังลูกมา เห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้อย่างชัดเจน
“เบนท์ลี่ไม่เอา ไม่เข้าบ้านครับ ออกไปอยู่ข้างนอกนะ” ผมพูดภาษาคนกับน้องหมาพร้อมพุ่งตรงเข้าไปดึงปลอกคอมันทันที แต่ครั้งนี้อยู่ดีๆ น้องหมาที่ปกติแสนจะเรียบร้อยตัวนี้มันกลับส่งเสียงขู่คำรามใส่ผมอย่างดุดัน พร้อมขืนตัวสู้อย่างรุนแรง จนผมกลัวและต้องตัดสินใจปล่อยมือจากปลอกคอของมัน มันวิ่งดมนู่นนี่นั่นไปทั่วโดยมีผมเดินตามห่าง ๆ อย่างกลัว ๆ พร้อมตะโกนเรียกแม่บ้านมาช่วยตลอดเวลา และทันใดนั้นเองมันก็ค่อย ๆโก่งหลังขึ้น ๆๆ ขยับขาหลังเข้าชิดขาหน้าคล้ายว่าจะทำท่าโยคะแบบ แนน ชลิตา ต่างกันที่ตอนนี้มันหย่อนตูดลงแล้วและแน่นอนว่าเสื่อโยคะของเบนท์ลี่ในวันนี้คือพรมสีขาวสะอาดของผมนั่นเอง
ใช่ครับมันกำลังจะขรี้!!!!!!
“วี๊ดดดดด บึ้ม!!! มันขรี้แล้วๆๆ”
ผมตะโกนบ้านจะแตก พร้อมกระโดดไปกระโดดมาเหมือนคนบ้าอยู่ข้างหมาตัวใหญ่ที่มั่นใจได้เลยว่าจะต้องผลิตขนมหมาได้ขนาดมหึมาอย่างแน่นอน มันโผล่ออกมาแล้ว!
ภาพแห่งความชุลมุนตัดไปสู่สิ่งที่เกิดขึ้น คือสิ่งที่ชีวิตนี้ผมไม่เคยคิดเลยว่าคนสติดีๆที่ไหนเค้าจะทำกัน และฉันก็ไม่ได้เป็นคนบ้า แต่ทำไมภูวนาท คุนผลินถึงได้ตัดสินใจนั่งลงไปประชิดตูดหมาและยกมือสองข้างขึ้นรองประคับประคองขนมหมาอุ่นๆที่กำลังม้วนตัวลงมาขดเกลียวนั้นไว้ในฝ่ามือแบบกลับตัวก็ไม่ได้ให้เดินต่อไปก็ไปไม่ถึง ขนมหมาที่ว่านั้นซ้อนตัวสูงขึ้นจนเริ่มล้นออกขอบทะลักข้างและไหลหลงสู่พรมสีขาวของผมอย่างไม่หยุดหย่อน
“ช่วยด้วยๆๆๆ” นั่นคือสิ่งเดียวที่ผมคิดออกว่าต้องทำ เบนท์ลี่ที่เพิ่งขี้เสร็จหันกลับมามองผมอย่างงงๆ ว่าไอ้มนุษย์นี่มันมานั่งทำอะไรของมันอยู่ตรงนี้ แล้วก็เริ่มออกเดินทางต่อไปโดยไม่ลืมที่จะแวะฉี่ใส่ผ้าม่านที่เพิ่งซักใหม่แถมให้ไปอีกหนึ่งที ก่อนจะเยื้องย่างจากไปเองทางประตูที่ยังคงเปิดค้างไว้อย่างพึงพอใจในผลงานแห่งการขับถ่ายระดับโลกที่เพิ่งจบลงไป
ความวุ่นวายสับสนเกิดขึ้นสลับกับเสียงหัวเราะดังลั่นบ้านไปมาอยู่พักใหญ่กว่าอะไรอะไรจะสงบและจบลง
ทันทีทีอาบน้ำล้างมือเสร็จ ผมก็รีบวิ่งกลับมาตรวจเช็คความเสียหาย ณ จุดเกิดเหตุโดยพลัน ผมยืนดูสิ่งที่อยู่ตรงหน้าตอนนี้ ซึ่งคือพรมที่มีคราบขนมหมาและรอยดำเท้าของผู้คนมากมายที่มะรุมมะตุ้มช่วยพยุงผมออกจากกองขี้หมาที่นอกจากจะเต็มมือแล้วอย่างล้นมาท่วมหน้าขาด้วยนั้นอย่างนิ่งงัน ไม่โกรธหมา ไม่โกรธรอยเท้าดำ ๆ ของแม่บ้านที่วิ่งมาช่วยผมโดยไม่ได้แวะไปล้างเท้าก่อนเข้าบ้านทุกครั้งตามคำสั่งของตัวผมเองสักนิด แปลกจังที่ใจผมสงบกับคราบสกปรกตรงหน้าแบบนี้ได้อย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
มันทำให้ผมนึกถึงบทความภาษาอังกฤษเรื่องหนึ่งที่เคยอ่านผ่านตามาที่พูดถึงครอบครัวอบอุ่นแต่ว่ายากจนครอบครัวหนึ่ง กับจานชามชุดสวยชุดเดียวในบ้านที่มี ซึ่งแน่นอนว่าย่อมกลายเป็นสิ่งที่มีค่าเหลือเกินสำหรับทุกคนบนโต๊ะอาหาร แต่แล้ววันหนึ่งตอนที่คุณแม่กำลังเสิร์ฟอาหารใส่จาน ลูกชายยกจานเร็วไปหน่อย จนจานไปกระทบกับจานของพี่สาว ทำให้จานบิ่นไป แม้จะเพียงเล็กน้อย แต่ทุกคนใจเสียขึ้นมาทันที คุณแม่ก็คงเสียใจแต่ไม่ได้ดุว่าตำหนิใคร บอกแต่เพียงว่าให้ระวังกว่านี้ และถึงบิ่นนิดนึงก็ยังใช้การได้ หลังจากนั้น ทุกครั้งที่ใครได้จานใบนี้ไป ก็จะบ่นเป็นเชิงหยอกล้อว่าทำไมวันนี้โชคร้ายจัง จนวันนึง น้องสาวคนเล็กของบ้านได้จานใบนี้ แล้วเบ้ปากทำท่าจะร้องไห้ แล้วทันใดนั้นเองคุณพ่อก็ประกาศขึ้นมากลางโต๊ะอาหารนั้นว่า จากนี้ไปถ้าใครได้รับจานบิ่นใบนี้ ทุกคนต้องไปหอมแก้มเขา ว่าแล้วคุณพ่อก็เข้าไปหอมแก้มน้องเป็นคนแรกแล้วทุกคนก็ทำตาม ทันทีจากคนที่กำลังจะร้องไห้ก็เปลี่ยนกลายเป็นยิ้มอย่างมีความสุขที่ได้รับความรักมากมายขนาดนี้
หลังจากวันนั้น ตำหนิของจานบิ่นใบนั้นก็กลายเป็นตัวแทนของความสุข และถ้าวันไหนใครแบกความทุกข์เข้าบ้าน พวกเค้าก็จะจงใจวางจานใบนั้นข้างหน้า เพื่อที่ทุกคนจะได้ไปรุมหอมพร้อมรอยยิ้ม ความทุกข์ความเศร้าหมองทั้งหลายก็แทบจะละลายหายไปในพริบตา
รอยบิ่นของจานใบนั้น กับรอยเปื้อนของพรมที่อยู่ตรงหน้าผมตอนนี้ ก็ไม่ต่างอะไรเท่าไรกับรอยแผลในชีวิตนี้ที่เราต่างต้องเจอ จริง ๆ มันก็คือจุดบกพร่องนะ แต่ในอีกมุมหนึ่งแผลเป็นเหล่านี้ มันอาจจะกลายเป็นสัญลักษณ์ของความสุขของเราก็ได้ถ้าเราสามารถเอาอีกมุมมองหนึ่งมาสยบความรู้สึกที่ไม่ดีออกไป
พรมสีขาวผืนไหนในโลกก็คงไม่ต่างกันเท่าไร แต่พรมสีขาวที่มีเรื่องราวและรอยเปื้อนแห่งความทรงจำแบบนี้มีอยู่ผืนเดียวที่บ้านหลังนี้และในหัวใจของผมเท่านั้น
เรื่องง่าย ๆ บางทีอยู่ตรงหน้า ได้ยินคนบ่นคนว่ามาเป็น 10 ปีไม่มีผล
ตลกดีที่ชีวิตคนเราบางคน บางทีก็มีพี่หมาเป็นอาจารย์
--
ติดตามบทความใหม่ ๆ จาก อั๋น ภูวนาท ได้ทุกวันจันทร์ บน LINE TODAY
Den จริงแท้ที่สุด โชคดีที่คุณมีสติและตามอารมณ์ตัวเองทัน บางคนคงตีหมา ด่าพี่เลี้ยงที่ไม่ปิดประตู โวยวายจนบ้านไร้ความสุข
02 มี.ค. 2563 เวลา 07.16 น.
Ratchapol คนตัดสินใจเลือกและซื้อพรม ก็คือตัวเราที่เป็นเจ้าของบ้าน ส่วนคนที่ทำให้พรมสกปรก ก็คือ คนที่เรารักคนในครอบครัวเราเอง...เจ้าของบ้าน กลืืนไม่เข้า คายไม่ออก
แล้วทางออกในการแก้ปัญหานี้ ...ทางใดคือวิธีที่ดีที่สุดหนอ
02 มี.ค. 2563 เวลา 08.26 น.
BEER นึกภาพตามตอนกอบขนมหมาแล้วหัวเราะน้ำตาไหลเลยค่ะ ทุกครั้งที่เห็นรอยเปื้อนบนพรมก็คงทำให้นึกถึงเหตุการณ์นี้สินะ
02 มี.ค. 2563 เวลา 10.26 น.
ในการคิดพิจารณาถึงในการดำเนินชีวิตประจำวันให้อย่างดีแล้ว ก็ย่อมสามารถที่จะทำให้รู้ถึงในแนวทางที่จะแก้ไขหรือว่าป้องกันเพื่อมิให้ปัญหาเกิดขึ้นมาได้เสมอ.
02 มี.ค. 2563 เวลา 01.59 น.
Haadz ॐ สนุกดีชอบอั๋นเขียนเรื่อวราว
02 มี.ค. 2563 เวลา 01.33 น.
ดูทั้งหมด