ได้มีโอกาสอ่านความเห็นของ “อินฟลูฯ” ทางการเมืองท่านหนึ่ง ไม่ใช่ “อินฟลูฯ” ทำธรรมดา แต่เป็นอินฟลูฯ รุ่นใหญ่ ดังนั้น ความคิดเห็นคือการวิเคราะห์รวมถึงการตัดสินคุณค่าของอินฟลูฯ ท่านนี้สำหรับฉันมีค่า มีความสำคัญที่จะต้องนำมาถกเถียง
อินฟลูฯ ท่านนี้ ให้ความเห็นว่า
หนึ่ง พรรคเพื่อไทยไม่ได้บอกประชาชนตอนหาเสียงว่าจะเปลี่ยนแปลงแบบค่อยเป็นค่อยไป แล้วชนะการเลือกตั้ง ถ้าบอกว่าจะเข้ามาจับมือกับ 2 ป. แก้ปากท้อง แล้วชนะถล่มทลายจะไม่ว่าเลย แต่นี่ ที่ได้มา 11 ล้านเสียง มาจากการหลอกประชาชนด้วยซ้ำว่าจะไม่จับมือรัฐประหาร แล้วมา “หักทีหลัง”
สอง เป็นการเดินแนวทางเปลี่ยนแปลงแบบค่อยเป็นค่อยไป อย่างตั้งใจจริง หรือเป็นข้อแลกเปลี่ยนเพื่อเอาทักษิณกลับบ้าน การเอาทักษิณกลับ การไปคารวะประยุทธ์ แล้วประยุทธ์ลงนามรับสนองฯ ให้อภัยทักษิณ ไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงแบบค่อยเป็นค่อยไป เพื่อหาทางลง เพื่อสร้างสะพานประชาธิปไตย ฯลฯ อย่างที่อ้าง มันคือการสวามิภักดิ์รับใช้ แลกกับทักษิณเป็นตัวประกัน…
สาม เพื่อไทยควรจะสำนึกว่าตัวเองมีแผลเหวอะหวะ ตระบัดสัตย์ ละทิ้งจุดยืน ทำเพื่อทักษิณกลับบ้าน โขกหัวขออภัย อดทนอดกลั้น น้อมรับคำด่า จะขอพิสูจน์ตัวเองให้เห็นจากผลงาน ที่ไหนได้ ปากเก่ง ปากแหว่ง ทั้งนักการเมือง นายแบกนางแบก ด่าทอให้ร้ายคนอื่น ตัวเองวิเศษวิโสที่สุด
ฉันคิดเอาเองว่า ข้อเขียนนี้ของอินฟลูฯ ท่านนี้น่าจะโต้ตอบที่ อดิศร เพียงเกษ เขียนไว้ใน x ความตอนหนึ่งว่า
“ก้าวไกลเดินไปคนเดียวเถอะครับ อย่ามาสร้างวาทกรรมปราสาททรายกับเพื่อไทยเลย เพื่อไทยมีประสบการณ์ สร้างงาน สร้างประเทศ ไม่มีเวลามาทะเลาะเบาะแว้งกับก้าวไกล ขออภัยนะที่พูดตรงๆ”
และฉันเดาว่า คุณอดิศรน่าจะโต้ตอบกรณีที่ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าคณะก้าวหน้าที่กล่าวว่า เพื่อไทยกับก้าวไกลคือ “มิตร”
“ผมคิดว่าพันธมิตรระหว่างพรรคเพื่อไทยกับพรรคก้าวไกลจะเป็นพันธมิตรทำให้ประเทศก้าวหน้าที่สุดและกลับมาเป็นประชาธิปไตย ผมเชื่ออย่างนั้น กลับไปดูที่ผมพูดเมื่อวาน ผมไม่ได้พูดถึงพรรคเพื่อไทยเลย เราพยายามเสนอสิ่งที่เราอยากจะทำ ไม่รู้คนอื่นคิดอย่างไร แต่พรรคเพื่อไทยคือมิตรสำหรับผม แม้จะอยู่คนละฝั่งก็ตาม เพื่อไทยเป็นรัฐบาล เราเป็นฝ่ายค้าน ก้าวไกลเป็นฝ่ายค้าน”
“ถึงแม้ว่าผมจะรู้สึกเสียใจและเจ็บปวดที่สุดที่พรรคเพื่อไทยไม่ได้จัดตั้งรัฐบาลกับเรา เราก็รู้สึกเจ็บปวดและเสียใจ แต่ผมเข้าใจข้อจำกัดของพรรคเพื่อไทย ดังนั้น ถึงแม้จะเสียใจโอกาสของประเทศ เสียดายที่ไม่ได้เอาแนวคิดเราไปบริหาร แต่สำหรับผม เพื่อไทยคือมิตร และทางออกที่จะทำให้ประเทศไทยเจริญก้าวหน้าต้องมี 2 พรรคนี้ ฝากถึงเพื่อนในพรรคก้าวไกลและแกนนำพรรคเพื่อไทยด้วย อนาคตของประเทศไทยอยู่ในมือคุณทั้งสอง”
อ่านทั้งหมดนี้แล้ว ฉันเห็นว่ามีสิ่งที่ผิดฝาผิดตัว น่าถกเถียงด้วยในหลายประการ
หนึ่ง เพราะเหตุใดธนาธรจึงเชื่อว่าในประเทศไทยมีแค่พรรคก้าวไกลและพรรคเพื่อไทย ที่จะทำให้ประเทศไทยกลับไปเป็นประชาธิปไตยอีกครั้งหนึ่ง? หากเราจะเริ่มนับหนึ่งที่คำว่าประชาธิปไตย เราต้องยอมรับว่า ทุกพรรคการเมืองมีความสำคัญ และมีบทบาทในการทำให้ประชาธิปไตยเข้มแข็ง
เราปฏิเสธไม่ได้ว่า พรรคเพื่อไทยมีบทบาทในการต่อต้าน ต่อสู้กับรัฐประหาร ทั้งเป็นพรรคการเมืองที่ถูกรัฐประหาร เป็นพรรคการเมืองที่ครั้งหนึ่งเป็นตัวแทนของ “ชาวชนบท” ที่เป็นประชากรส่วนใหญ่ของประเทศ
เราปฏิเสธไม่ได้ว่า พรรคก้าวไกลมี “ยี่ห้อ” เรื่องประชาธิปไตยชัดเจน
แต่มันจะไม่เป็นประชาธิปไตยเลย หากเราพูดว่า นอกจากสองพรรคการเมืองนี้ ไม่มีพรรคการอื่นเลย ที่จะเปลี่ยนประเทศให้เป็นประชาธิปไตยก้าวหน้าได้
แค่เริ่มต้นก็สำคัญตัวเองผิด
ถ้าเราเชื่อเรื่องประชาธิปไตย เราพึงยินดีที่พรรคการเมืองอย่างพลังประชารัฐ ประชาธิปัตย์ รวมไทยสร้างชาติ ที่ครั้งหนึ่งเป็นนั่งร้านให้เผด็จการ ยอมกลับมาเล่นการเมืองในระบบรัฐสภา ยอมรับผลการเลือกตั้ง เคารพการจัดตั้งรัฐบาลที่มีพรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำ ไม่ได้พยายามต่อสู้ ประท้วง สร้างความวุ่นวาย ประท้วงผลการเลือกตั้ง เพราะต้องการให้ประยุทธ์ จันทร์โอชา หรือประวิตร วงษ์สุวรรณ เป็นนายกฯ เท่านั้น พรรคภูมิใจที่มี ส.ส.มากถึง 77 คน เป็นตัวแปรที่สำคัญที่สุดในเสถียรภาพของรัฐบาลผสม ก็เล่นอยู่ในกติกา
ไม่ได้ใช้ความได้เปรียบนี้ต่อรอง เรียกค่าไถ่อะไรที่เกินเลยกว่าที่กติกาควรจะเป็น
นี่คือบทบาทของพรรคการเมืองที่จะค่อยๆ สร้างพลวัตของการเปลี่ยนผ่านไปสู่สังคมประชาธิปไตยที่เข้มแข็งขึ้นมิใช่หรือ?
ย้ำ ถ้าเราเชื่อในประชาธิปไตย เราจะไม่อวดอ้างหรือสำคัญตนเองว่า
“ถ้าไม่มีพรรคอย่างฉัน คนอย่างฉัน แปลว่า ไม่ใช่ประชาธิปไตย คนอื่นเป็นของปลอม”
ถัดมาเรื่องเสียใจที่เพื่อไทยไม่ยอมตั้งรัฐบาลกับก้าวไกล
ฉันคิดว่าเราควร move on จากประเด็นนี้ได้แล้ว
และควรอยู่กับความจริงว่า การที่พรรคก้าวไกลมีเงื่อนไขเรื่องแก้มาตรา 112 ทำให้ไม่สามารถรวมเสียงข้างมากในสภา จัดตั้งรัฐบาลได้
แม้พรรคเพื่อไทยจะยืนระยะโหวตให้ก้าวไกลถึงสองครั้ง เพราะฉะนั้น มันไม่ใช่ประเด็น “เพื่อไทยทิ้งก้าวไกล” แต่ประเด็นคือ พรรคเพื่อไทยที่เป็นอันดับสองมีความชอบธรรมทุกประการที่จะจัดตั้งรัฐบาล โดยไม่จำเป็นต้องอุ้มกระเตงพรรคก้าวไกลติดสะเอวไว้ตลอดเวลา
การผูกติดกับก้าวไกล หรือการสลัดก้าวไกลออกไป ไม่ได้ทำให้เพื่อไทยมีความเป็นประชาธิปไตยมากขึ้นหรือน้อยลง
การสลัดก้าวไกลออกไปก็เพื่อให้พรรคเพื่อไทยได้ตั้งรัฐบาล ให้แคนดิเดตของพรรคตนเป็นนายกฯ ได้ดำเนินนโยบายที่หาเสียงเอาไว้
นี่คือภารกิจของพรรคการเมืองคือ ลงเลือกตั้ง ตั้งรัฐบาล หรือเป็นฝ่ายค้าน ไม่ได้มีภารกิจอุ้มอีกพรรคไว้ตลอดเวลาเป็นแม่จิงโจ้
การสลัดพรรคก้าวไกลทิ้งอาจทำให้พรรคเพื่อไทยเสียคะแนนนิยม หรืออาจทำให้ได้คะแนนิยมเพิ่ม เรื่องนี้ไม่มีใครรู้ ไม่มีใครบอกได้ ได้แต่คาดการณ์ ผลจะออกมาบวกหรือลบ ก็ให้การเลือกตั้งครั้งหน้าเป็นตัวตัดสิน แต่ที่แน่ๆ ไม่ได้ทำให้พรรคเพื่อไทยกลายเป็นพรรคที่ไม่เป็นประชาธิปไตย หรือเป็นประชาธิปไตยน้อยลง
การที่พรรคการเมืองใดๆ จะจับมือกัน เป็นเรื่อง “ตัวเลข” ส.ส. ณ การเลือกตั้งครั้งหนึ่งๆ เปลี่ยนขั้ว ย้ายข้างกันได้ตลอดเวลาตาม “ตัวเลข” และ “ข้อตกลง” ที่มีต่อกัน สมการของประชาธิปไตยเสียงข้างมากมีแค่นี้
ดังนั้น ในการเลือกตั้งครั้งต่อไป เพื่อไทยกับก้าวไกลอาจต้องกลับไปอยู่ขั้วเดียวกันอีกก็ได้ ใครจะไปรู้ แต่นั่นเป็นเพราะ “ตัวเลข” ไม่ใช่เพราะเราเกิดมาเพื่อเป็นของกันและกัน เพราะเราเป็นประชาธิปไตยกันอยู่สองพรรค
ส่วนความเห็นของ “อินฟลูฯ” การเมือง ที่บอกว่า พรรคเพื่อไทยหลอกเอาคะแนนเสียง หลอกว่าจะไม่จับมือกับสองลุง เลยได้มา 11 ล้านเสียง ถ้าหาเสียงว่า จะจับมือกับสองลุงอาจจะไม่ได้เสียงมาเท่านี้
ถ้าฉันถามกลับว่า สำหรับโหวตเตอร์ที่สนใจเรื่อง “สองลุง” มากๆ และแคร์มากๆ ว่า เพื่อไทยจะจับหรือไม่จับ โหวตเตอร์เหล่านั้นได้เลือกที่จะทิ้งเพื่อไทยไปตั้งแต่ในการเลือกตั้งครั้งนี้แล้ว ดังเช่นที่เราเห็นจากผลการเลือกตั้งจังหวัดเชียงใหม่ที่พรรคเพื่อไทยเคยชนะยกจังหวัด คราวนี้กลายเป็น “ส้มทั้งแผ่นดินเชียงใหม่”
คนที่เลือกเพื่อไทยครั้งนี้ มีทั้งคนที่สนใจนโยบายเศรษฐกิจ มากกว่าเรื่องสองลุง และคนที่เลือกเพื่อไทยครั้งนี้จำนวนไม่น้อยที่ไม่อยากเห็นเพื่อไทยจับมือกับก้าวไกลด้วยซ้ำ จึงสนับสนุนยุทธศาสตร์แลนด์สไลด์
และพูดให้ถึงที่สุด ยุทธศาสตร์แลนด์สไลด์นั้น ประกาศความไม่อยากจับมือกับก้าวไกลมากกว่าพลังประชารัฐเสียด้วยซ้ำ
เงื่อนไขเดียวที่โหวตเตอร์เพื่อไทยจะไม่ยอมให้อภัยเพื่อไทยคือกรณีมีเสียงมากที่สุดแล้วปล่อยให้ประยุทธ์ หรือประวิตร เป็นนายกฯ
แต่การที่พรรคเพื่อไทยหนุนก้าวไกลจนถึงที่สุด แล้วหันมาสลับขั้ว ได้เศรษฐา ทวีสิน เป็นนายกฯ ได้นั่งกระทรวงสำคัญ ประยุทธ์กับประวิตร ยุติบทบาททางการเมือง นี่คือสิ่งที่คนโหวตเพื่อไทยรู้สึก “พอใจมาก” ไม่ได้รู้สึกว่าถูกหลอกเอาคะแนนเสียงแต่อย่างใด
ส่วนใครที่รู้สึกว่าถูกหลอก ซึ่งก็ต้องมีอยู่แล้ว ในการเลือกตั้งครั้งหน้าเขาสาปส่งเพื่อไทย ก็เป็นเรื่องปกติธรรมดา
นี่คือการเมืองเรื่องการเลือกตั้งแบบปกติสามัญที่สุด ไม่ใช่เรื่องที่ต้องวี้ดว้าย เสียจริตใดๆ ทั้งสิ้น
แต่ที่ฉันงง คือ โหวตเตอร์ก้าวไกลเสียอีกที่ยังไม่สามารถ move on จากเรื่องนี้ พร่ำพูดคำว่า “ตระบัดสัตย์” เหมือนคนเสียจริต
ย้ำอีกครั้งว่า การตระบัดสัตย์กับก้าวไกล ไม่ใช่อาชญากรรม มันก็แค่ MOU ที่ยกเลิกได้ พรรคก้าวไกลไม่ใช่ “เจ้าของชีวิต” ของเพื่อไทย
ไม่ใช่ “เจ้าของชีวิต” โหวตเตอร์เพื่อไทย ทำไมเราจะตระบัดสัตย์ต่อเธอไม่ได้
อินฟลูฯ บอกว่า เพื่อไทยพลิกขั้วเพื่อเอาทักษิณกลับบ้าน
ต้องตอบให้รู้เรื่องอีกครั้งว่า – เพื่อไทยพลิกขั้ว เพราะก้าวไกลไม่สามารถหาเสียงสนับสนุนในสภาได้ – ขีดเส้นใต้สามเส้น
เมื่อเป็นดังนั้น โอกาสจึงตกเป็นของเพื่อไทย และเพื่อไทยก็ตั้งรัฐบาลสำเร็จ
เมื่อเพื่อไทยเป็นรัฐบาล จึงเป็นโอกาสที่ทักษิณเห็นว่า “ปลอดภัย” “วางใจ” ในการกลับมาเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ซึ่งเป็นข้อเท็จจริงที่เรียบง่ายมาก
ลองสมมุติว่า ตัวเราถูกรัฐประหาร ต้องลี้ภัย เราจะกลับเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมในวันที่เรามีหรือไม่มีอำนาจรัฐ
เด็กสามขวบก็ตอบได้ว่า ก็รอกลับมาในวันที่เรามีอำนาจรัฐ เพราะมันการันตีความยุติธรรมและสวัสดิภาพของเราได้ดีกว่า
และดังที่อธิบายไปแล้ว ไม่มีเหตุผลอะไรที่เพื่อไทยต้องกระเตงก้าวไกลเข้าสะเอวไปเป็นฝ่ายค้าน และหากเป็นฝ่ายค้าน ทักษิณก็ไม่กล้ากลับ เพราะอำนาจรัฐไม่ได้อยู่ในมือเรา ติดคุกไปจะเจอกลั่นแกล้งอะไร ใครจะรู้
นี่คือความจริงที่เรียบง่าย
“ใจร้ายจัง ไม่รู้จักเห็นใจคนอื่นที่อยู่ในคุก” ก็ต้องถามต่อว่า ที่พลัดพรากจากบ้านเกิดเมืองนอนไป 20 ปีโดยไม่ได้ทำอะไรผิด แถมยังโดนรัฐประหาร ต่อสู้ทางการเมืองมาตลอด ทั้งบนถนนและในสภา สิ่งนี้เรียกว่า พริวิเลจเหรอ? วิบากกรมทางคดีความก็ยังไม่หมด ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ก็มีอีกหลายคดี ถามต่อไปว่า ด้วยอำนาจรัฐที่มีอยู่ก็มีความหวังสองทางคือ
หนึ่ง โอกาสช่วยคนที่ติดคุกอยู่มีมากขึ้น
สอง โอกาสช่วยให้คนที่สู้คดีอยู่ข้างนอก ได้ประกัน รอลงอาญา ไม่ต้องติดคุกก็มีมากกว่า
ไม่นับโอกาสของการบริหารประเทศที่จะยังประโยชน์ให้ประชาชนได้มากกว่าเป็นฝ่ายค้าน สมการง่ายๆ ไม่เห็นต้องคิดเป็นนิยายลึกลับซับซ้อนอะไร การที่เพื่อไทยเป็นรัฐบาลก็เกี่ยวข้องกับการที่ทักษิณกลับบ้านอยู่แล้ว
แต่ไม่ใช่เรื่องการทอดตัวรับใช้อะไร มันก็แค่สมการคณิตศาสตร์ มีเสียงตั้งรัฐบาลได้ ทักษิณก็กลับบ้านได้ แค่นั้นเอง
พรรคเพื่อไทยต้องโขกหัวขอโทษที่ตระบัดสัตย์ ก้มหน้าทำงาน ถ้าเถียง ห้ามฉอด ใครจะมาหยุมหัวด่าก็ก้มหน้าให้เขาด่าไปเพราะมึงมันตระบัดสัตย์
อินฟลูฯ ท่านนี้ลืมคิดไปว่า พรรคเพื่อไทยคือตัวแทนของคน 11 ล้านเสียง ไม่ใช่ทาส MOU ของก้าวไกล ไม่ต้องก้มหัวรับคำด่า ทอดตัวเป็นทาสในเรือนเบี้ยของก้าวไกลและโหวตเตอร์ก้าวไกล วิจารณ์มา อะไรที่ดีก็ฟัง อะไรที่ไร้สาระก็ต้องตอบโต้ อะไรที่เพ้อเจ้อก็ต้องอธิบาย ไม่ได้เป็นหนี้ชีวิตต่อก้าวไกล ทำไมต้องก้มหน้าทำงาน “ลบล้างความผิด”
อยู่กันอย่างมีศักดิ์ศรี เคารพการตัดสินใจของคนอื่น เคารพการ “เลือก” ของคนอื่นบ้าง ไม่ใช่ว่า เขาเลือกไม่ตรงใจตัวเองก็ดิ้นๆ เป็นเด็กเอาแต่ใจ
ฉันจะพูดประโยคเดิมซ้ำๆ สำหรับคนที่ไม่ move on ว่า
“เป็นผู้ใหญ่เสียที”
Grow up, and live!