เดี๋ยวนี้อะไร ๆ ก็มือถือ สมาร์ตโฟนกลายเป็นอวัยวะที่ 33 ของทุกคนไปแบบไม่รู้ตัว บางคนตื่นมาก็จับมือถือก่อนเป็นอันดับแรก ก่อนนอนก็ต้องจับมือถือก่อนจะหลับไป ใครที่เป็นแบบนี้บอกเลยว่า คุณกำลังอยู่ในภาวะเสพติดหน้าจอเข้าให้แล้ว
ปัญหานี้ไม่ใช่แค่เฉพาะในเด็กหรือวัยรุ่นเท่านั้น แต่วัยทำงานไปจนถึงผู้หลักผู้ใหญ่บางคนก็มีอาการเสพติดหน้าจอไม่แพ้กัน เพราะนอกจากจะต้องทำงานอยู่กับหน้าจอคอมพิวเตอร์ทั้งวันแล้ว ยังเพิ่มเวลาให้กับมือถือเข้าไปอีก กลายเป็นเวลาอยู่กับแสงสีฟ้าแบบทั้งวันทั้งคืน ไม่ได้พักกันเลยทีเดียว
อย่าลืมว่าอะไรที่มากเกินไปก็มีข้อเสียไม่น้อยเหมือนกัน การใช้งานหน้าจอเหล่านี้มีประโยชน์มากก็จริง แต่ในทางกลับกันก็มีโทษให้ต้องระวังด้วยเช่นกัน
• สุขภาพกาย การติดจอทำให้นอนดึกพักผ่อนน้อย ผลคือร่างกายอ่อนเพลีย ไม่มีแรง ง่วงนอนอยู่ตลอดเวลา ส่งผลต่อประสิทธิภาพการทำงานหรือการเรียนได้ อีกทั้งยังทำให้เสียสายตา ตาแห้ง แสบตาหรือสายตาสั้นตอนโตได้ บางคนเป็นโรคออฟฟิศซินโดรมคือปวดศีรษะ ปวดคอบ่า ไหล่และหลัง นิ้วล็อค เป็นต้น
• สุขภาพจิต คนที่ติดจอมาก ๆ บางคนจะลดการปฏิสัมพันธ์กับคนรอบข้างลงโดยที่ไม่รู้ตัว ไม่ค่อยเข้าสังคม อาจมีเพื่อนในชีวิตจริงน้อย ต้องการการยอมรับจากโลกโซเชียลมากขึ้น หากไม่ได้รับการยอมรับอย่างที่ต้องการจะเกิดปัญหาด้านสุขภาพจิตตามมา
การอยู่กับหน้าจอต่าง ๆ ทั้งวัน ไม่ว่าจะเป็นมือถือ โทรทัศน์ คอมพิวเตอร์ แท็บเล็ต แม้จะมีข้อดีอยู่มาก แต่ก็มีข้อเสียที่ไม่น้อยเหมือนกัน ดังนั้นสิ่งสำคัญก็คือการแบ่งเวลาการใช้งานให้เหมาะสมในแต่ละวัน เวลาไหนควรใช้ เวลาไหนไม่ควร ซึ่งเป็นเทคนิคลดการติดหน้าจอแบบง่าย ๆ ที่ต้องทำอย่างเคร่งครัด
• กำหนดกฎระเบียบในการเล่นให้ชัดเจน เพื่อเป็นแนวทางการปฏิบัติเดียวกัน ซึ่งไม่ใช่เฉพาะในเด็กเท่านั้น แต่ผู้ใหญ่เองก็ควรมีกำหนดการเล่นที่ชัดเจนด้วย เพราะอย่างไรก็ตามหากใช้อย่างเหมาะสม อุปกรณ์เหล่านี้ก็จะให้ประโยชน์อย่างมากเลยทีเดียว
• ใช้เวลาร่วมกับครอบครัวมากขึ้น อุปกรณ์สื่อสารโดยเฉพาะสมาร์ตโฟนนั้นทำให้โลกมีขนาดเล็กลง ทำให้การติดต่อกันสื่อสารง่ายดายแค่ปลายนิ้วเท่านั้น แต่ในขณะเดียวกันถ้ามัวแต่สนใจกับโลกใบเล็กในมือ ความสนใจกับคนรอบข้างก็จะน้อยลงตามไปด้วย ดังนั้นเทคนิคง่าย ๆ ก็คือการเปลี่ยนจากการใช้ชีวิตติดจอมาเป็นการใช้เวลาร่วมกันให้มากขึ้น พยายามงดเล่นสมาร์โตฟนในขณะทำกิจกรรมร่วมกันลงโดยเฉพาะในเวลารับประทานอาหาร
• หากิจกรรมน่าสนใจทำร่วมกัน ลองหากิจกรรมสนุก ๆ ทำด้วยกัน จะช่วยเชื่อมความสัมพันธ์ของคนในครอบครัวได้มากขึ้น เช่น ไปเที่ยวพักผ่อนนอกบ้าน ทำอาหารหรือทำงานอดิเรกร่วมกัน เป็นต้น
• ไม่นำอุปกรณ์เหล่านี้ไว้ในห้องนอน เพราะห้องนอนให้เป็นห้องที่ใช้สำหรับนอนเท่านั้น ควรจัดการงานให้เสร็จเรียบร้อยก่อนจะนอน ส่วนสมาร์ตโฟนควรหยุดเล่นก่อนจะเข้านอนอย่างน้อย 1 ชั่วโมงและไม่นำขึ้นไปเล่นบนเตียงนอนโดยเด็ดขาด เพราะมีโอกาสที่จะเล่นเพลินจนทำให้นอนดึกได้
เทคนิคเหล่านี้ไม่ได้ใหม่หรือยากอะไรเลย เป็นเรื่องที่ใคร ๆ ก็รู้กันทั้งนั้น แต่รู้แล้วยังไง รู้แล้วไม่ทำก็ไม่มีประโยชน์ โดยเฉพาะครอบครัวที่มีเด็กอยู่ด้วย การจะไม่ให้เด็กติดมือถือ ติดหน้าจอเหล่านี้ สิ่งเดียวที่ผู้ใหญ่อย่างเราต้องทำ ก็คือ “ทำเป็นตัวอย่าง” ถ้าเด็กเห็นว่าผู้ใหญ่ก็ก้มหน้าก้มตาเล่นมือถือทั้งวัน ก็ไม่แปลกที่เด็กจะไม่ทำตาม เพราะฉะนั้นการกระทำสำคัญกว่าคำพูด ผู้ใหญ่ก็ควรลดเวลาในการใช้หน้าจอเหล่านี้ด้วยเหมือนกัน
เบื่อมาก ขึ้นรถไฟฟ้าก็เล่นมือถือ คนแยอะแค่ไหนก็ไม่สนใจ จำเป็นอะไรนักหนาเล่นตลอดเวลา?
ยื่นมือถือออกมาเล่นก็กินเนื้อที่คนอื่นมากพอแล้วแถมยังไม่เดินชิดในอัก ยืนเกาะมือถือไม่สนใจใครแบบนี้ แย่มากๆๆ
รถไฟฟ้าก็ประกาศห้ามสะพายกระเป๋า เวลาคนแยอะ จะบ้าหรือเปล่า กระเป๋วต้องถือ ต้องหิ้วตลอดเวลา จะสะพายหน้า สะพายหลัง ยังไงก็ไม่แตกต่าง
แต่มือถือต้องถือต้องใช้ตลอดเวลาเลยไหม มีแต่ดูรูปเฟสบุ๊ค ดูที่บ้านก็ได้
02 ธ.ค. 2562 เวลา 14.27 น.
รู้ครับ..แต่ทำไม่ได้555
02 ธ.ค. 2562 เวลา 12.50 น.
Piya เราก็คิดอยู่นานแล้ว สมัยก่อนที่จะมีโทรศัพท์โผล่ขึ้นมา เวลาส่วนใหญ่อยู่ร่วมกับเพื่อนฝูง ตอนนี้เป็นเวลา 10 กว่าปีแล้ว แทบไม่มีใครมาหาแม้แต่คนเดียวเลย...ทุกอย่างเกิดจากเทคโนโลยีนี่เอง...
02 ธ.ค. 2562 เวลา 14.03 น.
-อยู่บ้านก็เล่นมือถือ
-เดินกลางถนนมันก็ยังเล่นมือถือ
-พักกินข้าวก็เล่น
-เข้าส้วมมันก็เล่น
-เรียนหนังสือมันก็เล่น
-เข้าแถวหน้าเสาธงมันก็เล่น
-ให้ทำงานมันก็เล่น
-ไล่ออกจากงานมันยังเล่น
-งานศพพ่อ/งานศพแม่มันก็เล่น
สุดท้าย..กูอยากรู้ว่า..ถ้ามันตายไป...มันจะไปเล่นมือถือ...ในนรกหรือสวรรค์ หรือปล่าวอย่าลืม! ตายไปมาเข้าฝันบอกบ้างน๊ะ...55555
02 ธ.ค. 2562 เวลา 15.02 น.
Tui of Earth บางวันถึงกับแสบตา ไม่ได้ติดมือถือ แต่กิจกรรมที่ต้องทำในนั้นมันเยอะมาก
02 ธ.ค. 2562 เวลา 15.44 น.
ดูทั้งหมด