ใกล้จะปลายปีก็ จะเป็นช่วงเทศกาลเดินสายงานแต่ง ไม่รู้ทำไมฤกษ์งามยามดีส่วนใหญ่จะเป็นช่วงปลายปี
เท่าที่สังเกตคนไทยสมัยนี้มีการอยู่ก่อนแต่งมากกว่าสมัยก่อน อาจเป็นเพราะได้รับค่านิยมจากตะวันตก
ทำให้การทดลองอยู่ก่อนแต่งเป็นเรื่องที่ไม่แปลกสักเท่าไหร่ในสังคมไทยยุคปัจจุบัน บางคนก็อยู่กินด้วยกันมาตั้งนานแล้วเพิ่งมาจัดงานแต่งงาน
เคยอ่านความคิดหลากหลายของผู้คนในสังคมจากกระทู้ต่างๆ เรื่องอยู่ก่อนแต่ง เรื่องความสำคัญของงานแต่งงาน บ้างก็เห็นด้วยบ้างก็ไม่เห็นด้วย
ข้อดีของการอยู่ก่อนแต่งที่ผ่านๆ ตาในคอมเมนท์ ยกตัวอย่าง เช่น
ได้รับรู้นิสัยใจคอรวมถึงพฤติกรรมหลายหลายอย่างที่ไม่สามารถเรียนรู้ได้ ถ้าไม่ได้ทดลองอยู่ด้วยกันก่อน เช่น นอนกรนหรือเปล่า สกปรกรกรุงรังแค่ไหน เรื่องบนเตียงเป็นยังไง ได้เห็นตัวตนที่แท้จริง รับหน้าสดตอนไม่แต่งหน้าได้มั้ย ผายลมในผ้าห่มรึเปล่า
ส่วนข้อเสีย ก็อาทิเช่น ฝ่ายหญิงและครอบครัวฝ่ายหญิงถูกนินทาจากชาวบ้าน โดนมองว่าเสียเปรียบ เปลืองตัว ชิงสุกก่อนห่าม ก็เคยสงสัย เหมือนกันว่า ถ้าสุก (แก่) แล้ว อยู่ก่อนแต่งได้เลย? ต้องสุกแค่ไหน? หง่อมเลยมั้ย? โบราณก็ไม่ได้บอกไว้
ในสังคมไทยผู้หญิงเป็นฝ่ายเสียเปรียบเต็มๆ ยิ่งถ้าอยู่กินด้วยกันแล้ว เป็นเวลานาน สุดท้ายต้องเลิกกัน ในมุมมองของหลายหลายคน ก็จะมองว่าผู้ชายหาใหม่ได้ง่ายกว่าผู้หญิง
เด็กผู้หญิง หลายคนมีความฝันอยากใส่ชุดเจ้าสาว สวยงามเหมือนในเทพนิยาย แต่คงไม่ใช่แค่นั้นสำหรับการแต่งงาน เพราะชุดสวยแบบนั้นเช่ามาใส่ถ่ายรูปเล่นก็ได้ แต่การแต่งงานสำหรับคนส่วนใหญ่ คือการให้เกียรติ เป็นการประกาศ ว่าจะมุ่งมั่นแน่วแน่มีคู่ครองเพียงคนเดียวที่จะร่วมสร้างอนาคตไปด้วยกัน ให้เกียรติพ่อแม่ฝ่ายหญิง ว่าลูกสาวไม่ได้หนีตามผู้ชายไป มีการป่าวประกาศอย่างเป็นทางการ
ถ้าจุดประสงค์ของการแต่งงานคือการให้เกียรติอย่างที่กล่าวไปข้างต้น
การให้เกียรติของแต่ละคนก็ตีความแตกต่างกันไป
บางคนตีค่าเกียรติจาก ความหรูหราอลังการของสถานที่จัดงาน จำนวนสินสอด ความหลากหลายเลิศรสของอาหาร จำนวนแขกในงาน ความมีชื่อเสียงของประธาน ยิ่งมากเท่าไหร่ จะยิ่งมีเกียรติมากเท่านั้น
ยุคปัจจุบัน จึงเห็นหลายๆ คู่ ต้องกู้หนี้ยืมสิน เพื่อมามอบเกียรติให้แก่กัน
บางคนบอกว่า นี่คือบททดสอบของฝ่ายชาย ว่าจะมีความสามารถในการหาเลี้ยงดูแลฝ่ายหญิงได้หรือไม่ (อาจเป็นความสามารถในการก่อหนี้😅) หรือเป็นค่าน้ำนมที่มารดาฝ่ายหญิงเลี้ยงมา เคยเห็นคอมเมนท์ ชาวต่างชาติที่จะมาแต่งงานกับหญิงไทยแล้วไม่เข้าใจเรื่องสินสอด เค้าถามกลับมาว่า เขาก็กินนมแม่โตมาเหมือนกันนะ ไม่ได้เกิดจากการแบ่งเซลล์หรือแตกตัว เค้ายังไม่เห็นคิดค่าน้ำนมฝ่ายหญิงบ้างเลย เพราะในโลกตะวันตกไม่มีเรื่องสินสอด
แม้กระทั่งในโลกตะวันออกเหมือนกัน อย่างเช่นประเทศอินเดีย ที่ให้ความสำคัญกับงานแต่งงาน ไม่แพ้ชาติใดในโลก จัดกัน3วัน7วัน ฝ่ายหญิงเป็นฝ่ายที่ต้องจ่ายค่าสินสอดและค่าจัดงานให้กับฝ่ายชายในงานแต่งงาน
สรุปแล้วมันคือค่านิยมของประเทศต่างๆ
อยู่ที่ใครพอใจแบบไหน ไม่มีผิดไม่มีถูก
ส่วนตัวไม่ได้ต่อต้านงานแต่งใหญ่โต หรือ สินสอดราคาแพงนะครับ แค่อยากเสนอมุมมองการลำดับความสำคัญ และอยู่บนความพอดี
ถ้าจัดแล้วไม่เดือดร้อน ทำไปเถอะครับ ดีซะอีก เป็นการกระจายรายได้ สร้างอาชีพให้คนมากมาย แต่ถ้าต้องถึงขนาดกู้หนี้ยืมสิน จนเป็นภาระในการสร้างครอบครัว มันคุ้มกันรึเปล่า ได้หน้าแต่ว่าเป็นหนี้ คิดดูดีๆ พ่อแม่ถ้ารักลูกจริง อยากให้เค้ามีอนาคตที่ดี คงไม่สนับสนุนให้เค้าเป็นหนี้ตั้งแต่ตอนสร้างครอบครัว เพราะ ก็มีคู่รักมากมายในโลกนี้ที่อยู่กันจนแก่เฒ่าอย่างมีความสุขโดยที่ไม่เคยผ่านพิธีแต่งงานด้วยกันมาก่อน
คนรุ่นใหม่หลายคู่ก็เบื่อการแต่งงานแบบเดิมๆที่ต้องมายืนไหว้คนที่ตัวเองไม่รู้จักมากมาย ซึ่งส่วนใหญ่เป็น เพื่อนฝูงของพ่อแม่และญาติผู้ใหญ่ แต่ก็ต้องทำ เพราะสังคมไทยเรา เป็นครอบครัวขยาย ยังให้ความสำคัญกับพ่อแม่
หลายคู่อยู่กันมาดีๆได้หลายปี แต่ตอนจะจัดงานแต่งงานเท่านั้นแหละ ทะเลาะจนแทบจะเลิกกัน เพราะ ครอบครัวทั้งสองฝ่าย เรียงลำดับและมองจุดประสงค์ของงานแต่งงานแตกต่างกัน บางบ้านให้ความสำคัญกับหน้าตา สถานะในสังคม มากกว่าจิตใจบ่าวสาว แย่งซองกันบ้าง บางคู่กลัวจัดแล้วขาดทุน วันฉลองมงคลสมรสกลายเป็นงานอีเว้นท์ลุ้นว่าจะขายบัตรได้ตามเป้าหรือไม่ เพราะเป็นบัตรแบบไม่ระบุราคา ผู้จัดต้องลุ้นเองตอนจบงาน (ถ้าใครไม่อยากลุ้น แนะนำให้ใช้ซองพลาสติกใสครับ ฮ่าๆๆๆๆ)
สุดท้ายการให้เกียรติจากสินสอดราคาแพงหรืองานเลิศหรูอลังการ อาจไม่ใช่การให้เกียรติที่แท้จริง เป็นการให้เกียรติตามประเพณีสังคมวัฒนธรรม
แต่การให้เกียรติจริงๆ ที่คู่รักไม่ว่าชายหรือหญิงสมควรจะได้รับต่อกัน ก็คือความซื่อสัตย์ ความเข้าใจ ความอดทน ความเสียสละ
การให้เกียรติแบบนี้ น่าจะเป็นตัวยืดระยะความสัมพันธ์ที่ให้ผลมากกว่า สินสอดราคาแพง หรืองานแต่งใหญ่โตเพียงอย่างเดียว
ดีใจกับคนโสดด้วยครับ🤣
พัชช์ ●~42~● 💌✨️ บางทีก็ต้องขอบคุณตัวเอง ที่อยู่คนเดียวได้ #โสดได้สบายใจดี จริงๆนะ ถ้าเหงาก็อ่านหนังสือ ไปเที่ยวแบบคนเดียวนี่แหละ
09 ต.ค. 2561 เวลา 14.06 น.
Phimmie โสดน่ะดี แต่ตอนแก่จะทำอย่างไร ใครจะดูแล แต่ถ้าแต่งเพราะกลัวขึ้นคานล่ะก็.....อยู่คนเดียวมีความสุขกว่าแต่งงานกับคนที่ไม่ได้รัก เขารักเรา แต่เราไม่ได้รักเขา ฝืนอยู่กันไปก็ทุกข์ใจเสียเปล่า แถมอาจจะต้องเสียตัวด้วย ดังนั้น ทำงานเก็บเงินเยอะๆ ไว้ใช้ยามฉุกเฉินหรือชราภาพดีกว่า....
09 ต.ค. 2561 เวลา 15.42 น.
ป๋อ... แหม...มีคนอิจฉาที่ผมโสดด้วย 555
09 ต.ค. 2561 เวลา 14.55 น.
Mam8️⃣8️⃣8️⃣ อาทิ กับ เช่น ใช้ตัวใด ตัวหนึ่ง ไม่ใช่ อาทิเช่น
10 ต.ค. 2561 เวลา 00.18 น.
Jazz ...ขอบคุณบทความดีดีนะคะน้องอุ๋ย....
..เจ้อ่านหนังสือที่น้องอุ๋ยเขียนน่ารักดีนะ
เรื่องของอุ๋ย..หน่ะอ่านเสร็จส่งต่อให้น้องๆ
ทุกคนบอกอือดีนะเจ้อิอิ😊
09 ต.ค. 2561 เวลา 11.26 น.
ดูทั้งหมด