*โรงสกัดน้ำมันปาล์ม ปัดไม่ได้กดราคาชาวสวน ชี้กำลังผลิตล้นประเทศ 2.6 เท่าต้องแข่งเดือด แถมธุรกิจซบแบงก์ปรับลดวงเงิน โรงงานเดี้ยงปิดตัวกว่าครึ่ง ล่าสุดผลประกอบการ 9 เดือนแรก 5 ธุรกิจ บมจ.ปาล์มฯยอดขายหด ลุ้นรัฐแก้ปัญหาคุมกำเนิดโรงสกัดทั้งระบบ *
แหล่งข่าวจากวงการโรงสกัดน้ำมันปาล์ม เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ตอนนี้เกษตรกรมองว่าโรงสกัดเอาเปรียบเกษตรกรทั้งที่ความจริงแล้วโรงงานขาดทุน โดยเมื่อตอนต้นปีขาดทุนหยุดผลิตไป 18 โรง จนถึงตอนนี้มีหยุดไปเพิ่มเป็น 30 โรง แม้ว่าจะไม่ใช่การหยุดที่ถาวร แต่มีโอกาสหยุดมากขึ้น เป็นเพราะสต๊อกน้ำมันปาล์มล้นประเทศส่งผลให้โรงกลั่นหยุดรับซื้อน้ำมันปาล์มดิบ
“ตอนนี้สถาบันการเงินรู้สัญญาณนี้จึงเริ่มขยับไม่ปล่อยสินเชื่อ หากตรวจสอบงบดุลในบริษัทปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์มในตลาดหลักทรัพย์ฯ ซึ่งมีอยู่ราว 4-5 ราย จะเห็นภาพว่าภาพรวมยอดขายลดลง งบฯขาดทุนหากเทียบกับย้อนไปก่อนปี 2557 สะท้อนว่าโรงงานจะไปกดขี่เกษตรกรได้อย่างไร”
ส่วนประเด็นที่ต้นทุนการผลิตปาล์มน้ำมันของไทยสูงกว่าคู่แข่ง ทั้งที่ราคาผลปาล์มน้ำมันของไทยและมาเลเซียไม่ต่างกันนั้น เป็นผลจากโรงสกัดน้ำมันปาล์มของไทยมีจำนวนมาก กำลังการผลิตเกินกว่าผลผลิตปาล์มน้ำมัน 2.6 เท่า เพราะที่ผ่านมาไทยไม่มีกฎระเบียบในการคุมการตั้งโรงงาน ขณะที่มาเลเซียมีข้อกำหนดว่าหากจะมีการตั้งโรงงานสกัดจะต้องมีผลปาล์มเข้าหีบไม่น้อยกว่า 75% ซึ่งไทยไม่มีเงื่อนไขนี้ การขอใบอนุญาตเปิดโรงงานเป็นไปอย่างเสรีจนถึงขณะนี้ก็ยังมีการขออนุญาตและก่อสร้างอยู่ และบางโรงเมื่อก่อสร้างเสร็จมาแล้วมีกำลังการผลิตเพียง 30-40% เท่านั้น เท่ากับว่าต้นทุนการผลิตของโรงงานไทยสูงกว่ามาเลเซีย 3 เท่า
“ไทยเวลาทำอะไรแก้ปัญหาอะไรต่างคนต่างทำ ไม่มองภาพรวม เราไม่ต้องสร้างเพิ่ม และยังต้องลดการผลิตตลาดลงด้วย แต่ที่ผ่านมารัฐบาลมักจะใช้กลไกตลาดแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า แต่ไม่แก้ไขที่โครงสร้าง ซึ่งข้อเสียของการใช้กลไกตลาดคือมันจะมีหลายแฟกเตอร์เข้ามาเกี่ยวข้องและมีผลตามมามากมาย เช่น หลายปีที่ผ่านมาเกษตรกรที่เคยทำงานร่วมกับโรงงาน ไม่เข้าใจโรงงานเพราะรัฐประกาศราคาแนะนำ 18 บาท แต่ราคาจริงในตลาดที่รับซื้อได้ 17 บาท เกษตรกรเห็นว่าโรงงานโกงเอารัดเอาเปรียบ คุณทำให้เกษตรกรเข้าใจผิด และยังไปบิดเบือนกลไกตลาดอีก ทำลายบรรยากาศการค้า”
สำหรับแนวทางการแก้ไขภาครัฐต้องเร่ง “คุมกำเนิดโรงสกัด” จากปัจจุบันโรงงานยังสามารถขออนุญาตสร้างได้อย่างเสรี เพราะไม่เคยมีการศึกษาถึงกำลังการผลิตเทียบกับผลผลิตปาล์ม เพิ่งจะมีการศึกษาเมื่อปี 2558 หากปล่อยไปจะเกิดปัญหาฟองสบู่มีการขยายโรงงานจำนวนมาก แต่โรงงานที่มีการเดินเครื่องไม่เต็มที่ ต้นทุนการผลิตต่อหน่วยก็สูง ส่งผลสะท้อนกลับที่ราคารับซื้อวัตถุดิบ หรือนอกเสียจากว่าจะมีการเปลี่ยนจากปลูกยางพารามาปลูกปาล์มมากขึ้น ซึ่งเป็นไปไม่ได้
ส่วนกรณีโรงงานประเภทเอและประเภทบีนั้น อธิบายได้ว่า โรงงานบีใช้ลูกร่วงที่มีเปอร์เซ็นต์น้ำมันปาล์มสูง ส่วนโรงงานเอใช้ทะลายที่มีเปอร์เซ็นต์น้ำมันปาล์มน้อยกว่า ซึ่งระดับราคาผลปาล์มร่วงสูงกว่าราคาผลปาล์มทะลาย จึงทำให้เกิดปัญหาว่ามีการแย่งซื้อลูกร่วงที่มีเปอร์เซ็นต์น้ำมันสูง เหลือแต่ทะลายที่มีสัดส่วนเปอร์เซ็นต์น้ำมันน้อยกว่า ซึ่งปัจจุบันไม่มีที่ไหนในโลกที่มีโรงงาน 2 แบบ มีแต่ไทย จะเห็นว่าใน จ.ชุมพรโรงงานเอมี 12 โรง แต่มีจุดรับซื้อ 200-400 จุด ก็ต้องมีคนแก้ไขปัญหา
“นอกจากนี้ ปัจจุบันไทยมีวัตถุดิบปาล์มน้ำมันปริมาณมากก็จริง แต่ไทยไม่สามารถดึงดูดการลงทุนอุตสาหกรรมที่ใช้ปาล์มน้ำมันไปผลิตเป็นสินค้าที่มีมูลค่าเพิ่มสูงเข้ามาได้ เพราะต้นทุนวัตถุดิบแพงโรงงานไม่เกิด เห็นได้จากก่อนหน้านี้มีโรงงานไบโอเจ็ตฟิลของสายการบินจากยุโรป (ลุฟท์ฮันซ่า) สนใจจะขยายการลงทุนเข้ามาในประเทศไทย เพราะตามกฎหมายอียูถ้าเครื่องบินจะบินผ่านอียูต้องลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้ได้ 5% แต่พอบริษัทดังกล่าวมาดูโรงงานในไทยก็เลิก เพราะเขาพบว่า 1) ปาล์มเป็นพืชการเมือง การดูแลไม่เป็นไปตามกลไกตลาด วางแผนการผลิตลำบาก และ 2) เรื่องราคาที่ผ่านมาทั้งปี ราคาไทยสูงกว่าตลาดโลก และที่สำคัญนโยบายรัฐบาลไทยไม่แน่นอน เพราะบางครั้งห้ามส่งออก และกลับมาส่งออก ทำให้นักลงทุนเกิดความไม่มั่นใจ”
ฮับ-เฮลท์ ถ้ามีกฎหมายคุมกำเหนิดโรงงาน วันหนึ่งก็มีอำนาจต่อรอง กำหนดราคาตามใจโรงงาน กดราราเกษตรกรเพราะไม่มีทางเลือกที่อื่น ผลผลิตออกมามากรีบแปรรูปแล้วสตีอกมาเพื่อหวังกำไรมาก มันหาจุดสมดุลย์ไม่ได้เพราะอะไร มันต้องมีอะไรสักอย่างที่มันมีกลไกไม่เป็นธรรมชาติ เราจะไม่รู้เลยหรือว่าแต่ละปีที่เท่าเดิม มันจะมีกำลังผลิตเท่าไหร่ คนมากขึ้นตความต้องการมากขึ้น ต้นทาง ระหว่างทาง ปลายทาง ปัญหาราคาพืชไร่ นา สวน เหมือนกันหมด ปัญหาโลกแตก
16 พ.ย. 2561 เวลา 02.49 น.
peapas1 ยิ่งอ่านยิ่งงง
15 พ.ย. 2561 เวลา 14.51 น.
ดูทั้งหมด