ธุรกิจ-เศรษฐกิจ

SCB แนะปรับพอร์ตลงทุนระยะสั้น-กลาง เปิดโผ 5 หุ้นเด่นรับรัฐบาลใหม่

Money2Know
เผยแพร่ 17 ก.ค. 2562 เวลา 09.00 น. • money2know - เงินทองต้องรู้

ไทยพาณิชย์ มองนโยบายทางการเงินที่ผ่อนคลายของธนาคารกลางทั่วโลก ชี้ทิศทางการลงทุน เชื่อสงครามการค้ายังคงยืดเยื้อ ส่งผลตลาดผันผวน แนะลงทุนระยะสั้นในตลาดหุ้นสหรัฐฯและจีน ส่วนระยะกลางในตลาดหุ้นเวียดนาม พร้อมแนะหุ้นเด่นรับนโยบายรัฐบาล ประกอบด้วย *AMATA, ROJNA, CHG, KTB และ IVL *

นายศรชัย สุเสต์ตา ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ Investment Advisory จากหน่วยงาน CIO Office ธนาคารไทยพาณิชย์ ให้มุมมองการลงทุนครึ่งปีหลังว่า ในช่วงครึ่งปีหลังมีนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายของธนาคารกลางของสหรัฐฯ และทั่วโลก จะเป็นตัวกำหนดทิศทางการลงทุน ในขณะที่ความขัดแย้งทางการค้าจะยืดเยื้อไม่จบง่ายๆ แม้ว่าการพบกันระหว่างประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ และ สี จิ้นผิง นอกรอบการประชุม G20 ที่ผ่านมาจะทำให้ภาพรวมตลาดดูดีขึ้น

โฆษณา - อ่านบทความต่อด้านล่าง

แต่ความขัดแย้งน่าจะขยายไปยังหลายประเทศ ซึ่งจะส่งผลต่อความผันผวนของทิศทางตลาดต่อไป จนกว่าจะถึงการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ เพื่อใช้เป็นเครื่องมือหาเสียง และสร้างคะแนนนิยมให้กับประธานาธิบดี ทรัมป์ ก่อนการเลือกตั้ง ภายใต้การชูนโยบาย Make America Great Again ในเดือน พ.ย.63

ธนาคารกลางทั่วโลก จะดำเนินการนโยบายการเงินแบบผ่อนคลายมากขึ้น เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศ และจะต้องรักษา policy space กับอัตราดอกเบี้ยสหรัฐฯ ที่จะปรับลดลง ไม่ให้เกิดแรงกดดันกับอัตราแลกเปลี่ยนให้ซ้ำเติมการส่งออกมากขึ้นอีกด้วย

ธนาคารกลางสหรัฐฯ(Fed) มีกระสุนที่จะลดดอกบี้ยมากที่สุด โดยคาดว่าจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายในปีนี้ รวม 2 ครั้งจากปัจจุบัน ซึ่งจะถือเป็นสัญญาณเชิงบวกว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ พร้อมจะดำเนินนโยบายการเงินอย่างทันที ซึ่งเป็นเหมือนการฉีดวัคซีนป้องกันเศรษฐกิจก่อนที่โรคร้ายแรงจะเกิด และเชื่อว่าหากธนาคารกลางสหรัฐฯมีการลดดอกเบี้ยลงถึง 2 ครั้งในปี 62 จริงก็จะเป็นแรงกดดันให้ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) ลดดอกเบี้ยตามด้วย ถึงแม้จะมีท่าทีคงดอกเบี้ยทั้งปีก็ตาม

โฆษณา - อ่านบทความต่อด้านล่าง

จากมาตรการลดดแกเบี้ยของธนาคารกลางทั่วโลกจะทำให้นักลงทุนลดความกังวลเรื่องเศรษฐกิจจะเข้าสู่ช่วงชะลอตัวในปีหน้า ประกอบกับแรงกดดันของประธานาธิบดีทรัมป์ ได้เรียกร้องให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ ลดอัตราดอกเบี้ยมาแล้วหลายครั้ง และเคยวิจารณ์การทำงานของธนาคารกลางสหรัฐฯ ว่าการปรับขึ้นดอกเบี้ยถึง 1.0% ในปีที่แล้ว ถือเป็นปัจจัยที่ฉุดเศรษฐกิจสหรัฐฯและตลาดหุ้นสหรัฐฯ

นอกจากนี้จะเสนอชื่อ นายคริสโตเฟอร์ วอลเลอร์ และนางจูดี้ เชลตัน ซึ่งมีแนวความคิดสนับสนุนการผ่อนคลายนโยบายการเงิน ให้ดำรงตำแหน่งสมาชิกคณะกรรมการธนาคารกลางสหรัฐฯ อีกด้วย

สำหรับกลยุทธ์การลงทุนในช่วงไตรมาส 3/62 มีกลยุทธ์ดังนี้

โฆษณา - อ่านบทความต่อด้านล่าง

ตลาดหุ้นที่มีมุมมองในเชิงบวก แต่แนะนำให้ลงทุนในระยะสั้นตาม sentiment ตลาดดังนี้

1.ตลาดหุ้นสหรัฐฯ จากเศรษฐกิจน่าจะปรับตัวดีขึ้นได้จากการลดดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐฯ และจากสภาพคล่องในตลาดการเงินที่เพิ่มขึ้น

2.ตลาดหุ้นจีน จะได้รับแรงหนุนจากนโยบายการเงิน การคลัง และราคายังไม่แพงเมื่อเทียบกับตลาดหุ้นในกลุ่มพัฒนาแล้ว

สำหรับการลงทุนในระยะกลาง มีดังนี้

1.ประเทศที่จะได้รับประโยชน์จากการย้ายฐานการผลิตออกจากจีน ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ เพื่อเลี่ยงภาษีนำเข้าจากสหรัฐฯ เช่นเวียดนาม โดยมูลค่าการลงทุนทางตรงจากต่างประเทศของเวียดนาม ได้เพิ่มขึ้นสูงสุดในรอบ 4 ปี ในขณะที่มูลค่าและความสามารถในการทำกำไรของบริษัทในตลาดหุ้นเวียดนามยังน่าสนใจ

2.ตลาดหุ้นไทยที่จะได้รับปัจจัยหนุนจากการเมืองในประเทศ โดยรัฐบาลใหม่มีแนวโน้มประกาศนโยบายด้านเศรษฐกิจช่วงปลายเดือน ก.ค.นี้

ทั้งนี้ แนะนำให้หลีกเลี่ยงการลงทุนในตราสารหนี้ที่มีอายุการลงทุนยาว เพราะแม้ว่าอัตราดอกเบี้ยจะอยู่ในทิศทางขาลงก็ตาม แต่มองว่าราคาตราสารหนี้ได้รับรู้ไปมากแล้ว ซึ่งหากธนาคารกลางสหรัฐฯ ปรับลดดอกเบี้ยน้อยกว่านักลงทุนคาดการณ์ไว้ อาจส่งผลให้ Yield Curve ปรับเพิ่มขึ้น และราคาตราสารหนี้จะปรับลดลงจากระดับปัจจุบันได้

สำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้น้อย ควรเลือกลงทุนในนโยบายลงทุนที่ยืดหยุ่นปรับเปลี่ยนได้ตลอดเวลาโดยผู้จัดการกองทุน เช่น การลงทุนในกองทุนผสม ที่มีการกระจายการลงทุนทั้งในตราสารหนี้และตราสารทุนทั้งในไทยและต่างประเทศ หรือแนะนำให้ลงทุนในผลิตภัณฑ์การลงทุนที่มีการคุ้มครองเงินต้น

ด้าน นายสุกิจ อุดมศิริกุล กรรมการผู้จัดการ สายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ ไทยพาณิชย์ จำกัด กล่าวถึงมุมมองด้านเศรษฐกิจไทยว่า เศรษฐกิจชะลอตัวอย่างชัดเจนในไตรมาสแรก โดยเฉพาะภาคต่างประเทศ ซึ่งการส่งออกสินค้าและบริการที่แท้จริงหดตัวลง 4.9% แบบปีต่อปี และมีส่วนสำคัญที่มำให้การขยายตัวทางเศรษฐกิจติดลบค่อนข้างมาก ซึ่งเป็นตัวฉุดรั้ง GDP ในไตรมาส 1 ปี 62 ให้ขยายตัวเหลือ 2.8%

ดังนั้น ปัจจัยที่จะเป็นตัวผลักดันเศรษฐกิจในปี 62 จึงจำเป็นต้องพึ่งพาการบริโภคการลงทุนภายในประเทศ รวมถึงการท่องเที่ยวเป็นหลัก โดยคาดการณ์ว่า GDP ปี 62 ไว้ที่ 3.1% ลดลงจากเดิม 3.3%

สำหรับแนวโน้มตลาดทุนไทย ประเมินว่าได้รับปัจจัยหนุนจากเงินต่างชาติไหลเข้า โดยรัฐบาลใหม่กำลังจะเข้ามาบริหารประเทศ ซึ่งคาดว่าจะทำให้ภาพรวมเศรษฐกิจดีขึ้น เนื่องจากความชัดเจนทางการเมือง รวมถึงการดำเนินนโยบายเพื่อประคองเศรษฐกิจ จะช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับภาคธุรกิจและนักลงทุน โดยประเมินว่า SET Index ครึ่งปีหลังมีโอกาสเคลื่อนไหวที่ระดับ 1,700-1,750 จุด

กลยุทธ์การลงทุนตลาดหุ้นไทย มองว่าตลาดหุ้นไทยยังเป็นตลาดที่มีความเสี่ยงต่ำจากกรณีสงครามการค้า ในขณะที่การปรับลดประมาณการณ์กำไรสุทธิของบริษัทจดทะเบียนใกล้สิ้นสุดแล้ว คาดว่า SET Index ในช่วงครึ่งปีหลังยังคงมีโอกาสเคลื่อนไหวอยู่ระหว่าง 1,700-1,750 จุด โดยหุ้นเด่นที่แนะนำให้ลงทุนในไตรมาส 3 ปี 62 ยังเป็นหุ้นที่อ้างอิงปัจจัยในประเทศ ที่มีประเด็นการเติบโตและได้ประโยชน์จากนโยบายรัฐบาล ซึ่งจะมีความโดดเด่นมากที่สุดในช่วงไตรมาส 3 ปีนี้

หุ้นที่แนะนำประกอบด้วยดังนี้

1.AMATA เนื่องจากกำไรมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น และจะได้ประโยชน์จากโครงการ EEC นอกจากนี้การย้ายสายการผลิตมายังประเทศไทยจะส่งผลให้ประเทศไทยเป็นหนึ่งในผู่ที่ได้รับประโยชน์ทางภาษีที่ดีกว่าที่อื่น

2.ROJANA เนื่องจากมีรายได้ประจำช่วยป้องกันความเสี่ยงและได้ประโยชน์จากวัฎจักรการลงทุนรอบใหม่

3.CHG เรายังคงเชื่อมั่นในผลประกอบการที่แข็งแกร่ง เมื่อมองต่อไปข้างหน้า คาดกำไรจะมีการปรับตัวดีขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง ในด้าน valuation หุ้นกลุ่มการแพทย์ซื้อขายที่ PE 32 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 5 ปี ที่ 35 เท่า

4.KTB กำไรพิเศษได้ประโยชน์จากการใช้จ่ายภาครัฐและสินเชื่อฟื้นตัว

5.IVL เป็นหุ้นที่ valuation ไม่แพงและกำไรมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น คาดว่าจะเห็นการฟื้นตัวในช่วงที่เหลือของปี นอกจากนี้ยังมีผลกระทบน้อยที่สุดจากสงครามการค้าในปัจจุบัน

ดูข่าวต้นฉบับ
ความเห็น 1
  • Patama Gomutbutra
    ยังจะมองบวกอีก upside หลักสิบ downs8de หลักร้อย
    17 ก.ค. 2562 เวลา 09.16 น.
ดูทั้งหมด