*สนทช.ถกด่วนปัญหาภัยแล้งชี้สาเหตุเกิดจากฝนตกน้อยกว่าปกติ เผยพื้นที่นอกเขตชลประทาน 83 อำเภอ 20 จังหวัดเสี่ยงขาดแคลนน้ำ ชง 7 มาตรการเร่งด่วนให้นายกฯแก้ปัญหา *
เมื่อวันที่ 22 ก.ค. ที่สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) นายสมเกียรติ ประจำวงษ์ เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำ เปิดเผยภายหลังเป็นประธานการประชุมคณะทำงานอำนวยการบริหารจัดการน้ำ ครั้งที่ 8/2562 ว่า สำหรับสาเหตุของน้ำต้นทุนที่มีปริมาณน้อยแม้จะอยู่ในช่วงฤดูฝน เนื่องจากสาเหตุ 3 ปัจจัย คือ 1.ปริมาณฝนตกช่วงฤดูฝนปี 2561 ตกน้อยน้อยกว่าปกติ (ค่าปกติ 10%-17%) 2.มีการส่งน้ำให้กับพื้นที่การเกษตรที่เพาะปลูกเกินแผนในฤดูแล้งปี 2561-2562 โดยเฉพาะในพื้นที่ลุ้มน้ำเจ้าพระยา มีการเพาะปลูกเกินแผน 1.2 ล้านไร่ ทำให้ต้องจัดสรรน้ำมากกว่าแผน 20% และ 3.มีปริมาณฝนตกจริงน้อยกว่าที่กรมอุตุณคาดการณ์ไว้ 30%-40% ทำให้ต้องจัดสรรน้ำจากอ่างเก็บน้ำให้พื้นที่เกษตรมากกว่าแผน โดยล่าสุด สทนช.ได้ประเมินพื้นที่ฝนตกน้อยและอาจมีความเสี่ยงขาดแคลนน้ำโดนเฉพาะพื้นที่นอกเขตชลประทาน 83 อำเภอ 20 จังหวัด
นายสมเกียรติ กล่าวว่า สำหรับภาคเหนือ ภาคกลาง และ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยเฉพาะบริเวณเหนือเขื่อนและท้ายเขื่อน จะต้องเร่งเพิ่มน้ำต้นทุนในพื้นที่เกษตร เนื่องจากฝนไม่ได้ตกต่อเนื่อง 3-4 วัน ส่งผลทำให้น้ำอาจจะเข้ามาในพื้นที่กักเก็บน้ำได้ไม่มาก ขณะนี้จำเป็นจะต้องปรับลดการระบายน้ำในเขื่อนภูมิพลและเขื่อนสิริกิติ์ไม่น้อกว่า 3,000 ลบ.ม. ซึ่งขณะนี้มีบางพื้นที่ ที่ยังไม่ได้ทำการเพาะปลูกก็จำเป็นต้องชะลอการปลูกไว้ก่อน ส่วนที่ปลูกแล้วให้ประเมินค่าชดเชยและค่าเสียหายให้เกษตรต่อไป ขณะที่ 3 เขื่อนหลักที่ยังมีปัญหาเรื่องการขาดแคลนน้ำ ประกอบด้วย เขื่อนภูมิพล เขื่อนสิริกิติ์และ เขื่อนอุบลรัตน์ ที่น้ำยังไม่มีเพียงพอต่อการเพาะปลูก อาจจะต้องให้เกษตรกรงดการปลูกข้าวในฤดูแล้ง อย่างไรก็ตามขณะนี้ตั้งแต่วันที่ 19-20 ก.ค.2562 จะประสานขอความร่วมมือไปยังเขื่อนชัยบุรี สปป.ลาว และ เขื่อนของประเทศจีน เพื่อปรับเพิ่มการระบายน้ำเนื่องจากน้ำในแม่น้ำโขงลดลงอย่างต่อเนื่อง
นายสมเกียรติ กล่าวอีกว่า เบื้องต้นที่ประชุมได้พิจารณามาตรการรับมือภัยแล้งในช่วงฤดูฝน เพื่อเสนอต่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม โดยเร่งด่วน 7 มาตรการ ได้แก่ 1.ตั้งศูนย์เฉพาะชั่วคราวในภาวะวิกฤต เพื่อติดตามสถานการณ์และรายงานต่อนายกฯ 2. ปฏิบัติการฝนหลวงในพื้นที่เหนือและท้ายอ่างเก็บน้ำ 3. สนับสนุนน้ำอุปโภคบริโภคจากแหล่งน้ำใกล้เคียงในพื้นที่เสี่ยง 4. เร่งรัดขุดลอกเพิ่มความจุแหล่งน้ำต่างๆโดยเฉพาะในพื้นที่ประกาศภัยแล้งซ้ำซาก 144 โครงการ วงเงิน 1,226 ล้านบาท 5. ปรับแผนการขุดเจาะและซ่อมแซมบ่อบาดาล 6. กำหนดมาตรการให้ความช่วยเหลือเกษตรกรหรือประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากภัยแล้ง และ 7.รณรงค์การใช้น้ำอย่างประหยัด สำหรับมาตรการระยะสั้น 1. เร่งรัดการก่อสร้างหรือซ่อมแซมฝายชะลอน้ำบริเวณต้นน้ำในเขต 67 จังหวัดจำนวน 30,000 แห่ง 2. ทบทวนการคาดการณ์ปริมาณน้ำฝนที่ตกไหลเข้าอ่างตั้งแต่วันที่ 15 ก.ค.ถึง 31 ต.ค.2562 3. สำรวจความต้องการใช้น้ำในแต่ละพื้นที่พร้อมเตรียมอุปกรณ์ บุคลากรสนับสนุนจัดสรรน้ำตามลำดับความสำคัญโดยเน้นการอุปโภคบริโภค 4. บริหารจัดการน้ำฝนที่ตกบริเวณพื้นที่ด้านท้ายแหล่งเก็บกักน้ำให้เกิดประโยชน์สูงสุด /และ 5.ให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด
อย่าเที่ยวว่าคนโน้นคนนีไม่ดีถ้าอยากรู้ธรรมจะบอกให้คนดีคือไม่ใส่ร้ายคนอื่นคนที่ว่าคนอื่นชั่วตัวเองนั้นแหละชั่วจำใสสมองไว้
22 ก.ค. 2562 เวลา 12.24 น.
ทำใจเถอะครับถึงเวลาธรรมชาติเอาคืนเราพากันทำลายป่ามามากอย่าโทษใคร
22 ก.ค. 2562 เวลา 12.20 น.
kamthorn ไม่ต้อง 7 มาตรการหรอก
ขอข้อเดียว ไปให้พ้นๆจากประเทศไทย อย่าถ่วงประเทศอยู่เลย
22 ก.ค. 2562 เวลา 11.03 น.
ใครที่ได้รับผลประโยชน์กับพวกลงทุน แล้วปัญหาความแห้งแล้งกระทบเดือดร้อนหนัก ไอ้พวกข้าราชการจอมแดกทั้งหลาย แหกตาหลอกลวงประชาชน ชาวบ้านไม่รู้อีโหน่อีเหน่หลงเชื่อ ด้วยความอัปรีย์จัญไร ของหน่วยงานภาครัฐ
22 ก.ค. 2562 เวลา 11.01 น.
วัฒนชัย จิโสะ ปัญหาน้ำท่วมน้ำแล้งเกิดกับทุกรัฐบาลครับ แต่การแก้ปัญหาสำคัญสุด ผมแนะ 2ข้อ..
1.กรมอุตตุฯควรปรับปรุง เปลี่ยนแปลงการทำงานบ้างก็ดีนะครับเพราะหลังๆพลาดบ่อยนะเพราะข้อมูลจากท่านนำไปบริหารจัดการน้ำ
2.สำนักงานทรีพยากรน้ำแห่งชาติควรมีบุคคลากรที่เก่งเรื่องน้ำจริงๆเถอะ ผมจะบอกให้ว่าคนในองค์กรนี้มีแค่ 10%ที่รู้เรื่องน้ำ ว่าจ้างบ.ที่ปรึกษาทั้งนั้นเท่าไหร่แล้วหมดไปร่วมพันล้านแล้ว แค่จ้างให้ศึกษา(ย้ำว่าศึกษาครับ)ยังไม่เห็นอะไรเลย....
22 ก.ค. 2562 เวลา 10.58 น.
ดูทั้งหมด