ขณะที่ประเทศสมาชิกสมาคมประชาชาติเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) กำลังวุ่นวายอยู่กับการรับมือการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 อินโดนีเซีย เป็นประเทศที่บอบช้ำจากปัญหานี้มากที่สุด เนื่องจากเป็นประเทศที่มีอัตราการเสียชีวิตจากโรคโควิด-19 สูงที่สุดในกลุ่มประเทศอาเซียน และสูงกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลกเกือบ 2 เท่า สะท้อนปัญหาการขาดแคลนอุปกรณ์ทางการแพทย์และชุดตรวจโควิด-19
อินโดนีเซีย เปิดเผยว่ามีคนติดเชื้อไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่(โรคโควิด-19) 2 คนแรกเมื่อวันที่ 2 มี.ค. และภายใน 1 เดือน ยอดผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรน่า ที่เพิ่งรายงานไปเมื่อวันที่ 3 เม.ย.เพิ่มขึ้นเป็น 1,986 คน และยอดผู้เสียชีวิตอยู่ที่ 181 ทำให้อินโดนีเซียเป็นประเทศที่มีจำนวนผู้เสียชีวิตมากที่สุดในอาเซียน และมีอัตราการเสียชีวิตมากที่สุดในภูมิภาคด้วย โดยขณะนี้ อัตราการเสียชีวิตในอินโดนีเซียอยู่ที่ 9.1% น้อยกว่าอิตาลี ซึ่งมีอัตราการเสียชีวิตสูงที่สุดในโลกเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
นับจากการตรวจพบผู้ติดเชื้อรายแรกเมื่อ 2 มี.ค.ที่ผ่านมา หนึ่งเดือนถัดจากนั้น "อินโดนีเซีย" ตรวจพบผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรน่าเพิ่มขึ้นเป็น 1,986 คน และยอดผู้เสียชีวิตอยู่ที่ 181 ราย
“อีวาวันกิ” หมอประจำโรงพยาบาลรัฐแห่งหนึ่ง ชานกรุงจาการ์ตา เปิดใจว่า ทุกวันนี้ไม่สบายใจทุกวันเกี่ยวกับปัญหาการขาดแคลนอุปกรณ์และเครื่องไม้เครื่องมือทางการแพทย์ ท่ามกลางคนไข้ที่เข้ามารับการรักษาที่โรงพยาบาลเพิ่มขึ้นทุกวัน จนล่าสุด คณะแพทย์และพยาบาลตัดสินใจใช้พลาสติกที่เป็นชุดกันฝนราคาถูกมาปรับใช้เป็นพลาสติกกันเชื้อไวรัสขณะทำงาน
"ที่เราต้องการมากที่สุดตอนนี้คือหน้ากากอนามัยและหน้ากาก N95 ชุดป้องกันเชื้อโรค อุปกรณ์ป้องกันใบหน้าสำหรับหน่วยงานฉุกเฉินและตึกแยกผู้ป่วย เพราะตอนนี้อุปกรณ์เหล่านี้มีอย่างจำกัด และทุกวันนี้ทางโรงพยาบาลใช้อุปกรณ์ทางการแพทย์ประมาณวันละ 80 ชุด แต่มีอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่สามารถนำมาใช้งานได้เพียงแค่ 40-50 ชุด" หมออีวาวันกิ ชาวอินโดนีเซีย กล่าว
เมื่อวันจันทร์ (6 เม.ย.) สมาคมแพทย์ของอินโดนีเซีย ออกแถลงการณ์ว่า สูญเสียแพทย์จำนวน 24 คนในการปฏิบัติหน้าที่รักษาผู้ป่วยโรคโควิด-19 ซึ่งเป็นจำนวนแพทย์ที่เสียชีวิตเพิ่มขึ้นสองเท่า นับตั้งแต่สัปดาห์ก่อน ทำให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับการขาดแคลนอุปกรณ์ช่วยป้องกันโควิด-19 ของบุคลากรแพทย์
ด้านรัฐบาลอินโดนีเซีย ออกคำสั่งให้พลเรือนสวมหน้ากากผ้าขณะอยู่นอกบ้าน เนื่องจากพบผู้ป่วยโรคโควิด-19 ไม่แสดงอาการของโรคเป็นจำนวนมาก และเจ้าหน้าที่ยังย้ำว่าทุกคนต้องสวมหน้ากากอนามัย ส่วนหน้ากาก N95 และหน้ากากทางการแพทย์ให้แพทย์ใช้เท่านั้น
อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่า สถานการณ์เลวร้ายที่สุดยังมาไม่ถึง ขณะที่ยอดผู้ติดเชื้อในจีนชะลอตัวลง ยุโรปและอเมริกาเหนือกลายเป็นแหล่งแพร่ระบาดไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่แห่งใหม่ ส่วนภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กลับเป็นภูมิภาคที่พบผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่มขึ้นแทบทุกวัน ทำให้เกิดความวิตกกังวลว่า ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่มีประชากรกว่า 650 ล้านคนจะกลายเป็นฮอตสปอตต่อไปของโลกหรือไม่
ขณะที่หลายประเทศ มีทรัพยากรและระบบดูแลสุขภาพที่ค่อนข้างจำกัด เช่น อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ ถือเป็น 2 ประเทศในกลุ่มอาเซียนที่อยู่ในฐานะเสี่ยงที่สุด
สมาคมแพทย์แห่งอินโดนีเซีย เรียกร้องให้รัฐบาลสร้างหลักประกันที่จะช่วยปกป้องบุคลากรทางการแพทย์ แนะนำบรรดาแรงงานให้หลีกเลี่ยงการดูแลผู้ป่วยโรคโควิด-19โดยไม่มีเครื่องป้องกันที่เหมาะสม หลังจากบุคลากรทางการแพทย์จำนวนมากเสียชีวิตขณะปฏิบัติหน้าที่และพนักงานในแวดวงสาธารณสุขอีกเกือบ 100 คนในกรุงจาการ์ตา ติดเชื้อไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่
"ช่วยทำให้สงครามครั้งนี้ เป็นสงครามที่เรามีโอกาสชนะ ไม่ใช่สงครามที่เราต้องใช้ปฏิบัติการฆ่าตัวตาย"
เจ้าหน้าที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่ง โพสต์ในทวิตเตอร์
ด้านกลุ่มสิทธิมนุษยชน ซึ่งรวมถึงองค์การนิรโทษกรรมสากล แสดงความกังวลเกี่ยวกับอัตราการเสียชีวิตที่อยู่ในระดับสูงของบุคลากรทางการแพทย์ จึงได้ออกแถลงการณ์ฉบับหนึ่งระบุว่า การเสียชีวิตของบุคลากรทางการแพทย์ ไม่เพียงส่งผลกระทบต่อจำนวนแพทย์เท่านั้น แต่ยังเป็นการเตือนภัยสำหรับอินโดนีเซีย ให้เร่งแก้ปัญหาระบบสาธารณสุขของประเทศในสถานการณ์ฉุกเฉินด้วย
ด้วยความที่ประเทศสมาชิกอาเซียนมีความใกล้ชิดกับจีน ทำให้กว่าครึ่งของประชากรในอาเซียน ซึ่งรวมถึง ไทย มาเลเซีย สิงคโปร์ และเวียดนาม พบผู้ติดเชื้อรายแรกในปลายเดือนม.ค.และในช่วงแรกยอดผู้ติดเชื้อยังไม่มาก จนต่อมายอดผู้ติดเชื้อในเวียดนามก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โดยยอดผู้ติดเชื้อสัมพันธ์กับการหลั่งไหลเข้ามาของนักเดินทางต่างชาติ
แต่อีกหนึ่งปัญหาใหญ่ที่ทำให้อินโดนีเซีย อยู่ในสถานการณ์ยากลำบากที่สุดคือ การไม่เตรียมความพร้อมให้ดีเพื่อรับมือสถานการณ์แพร่ระบาด รัฐบาลอินโดนีเซีย ไม่ได้ให้ความสนใจกับภัยคุกคามนี้เท่าที่ควร ก่อนที่อินโดนีเซียจะพบผู้ติดเชื้อรายแรกเมื่อวันที่ 2 มี.ค.และระบบการตรวจสอบหรือคัดกรองที่ไม่มีประสิทธิภาพ ทำให้การวินิจฉัยโรคของแพทย์พลอยล่าช้าไปด้วย นี่คือเหตุผลที่ทำให้ยอดเสียชีวิตในอินโดนีเซียเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
"ระบบดูแลสุขภาพของเรายังไม่มีประสิทธิภาพมากนัก ผู้ป่วยหลายคนที่จำเป็นต้องได้รับการรักษาก็ไม่ได้รับการรักษาด้วยวิธีการที่เหมาะสม คนไข้เหล่านั้นจึงเสียชีวิตเพราะระบบดูแลสุขภาพของเราไม่ดีพอ เป็นเรื่องน่าเศร้าใจมาก หากเป็นแบบนี้ต่อไป เราอาจจะมีชะตากรรมไม่ต่างกับอิตาลี" เจ้าหน้าที่แพทย์ชาวอินโดนีเซีย ซึ่งปฏิเสธที่จะเปิดเผยชื่อ ให้ความเห็น
Long k.k 42 ไม่ได้อยากซ้ำเติม แต่นิสัยของคนในประเทศคุณละ นอกจากเรื่องศาสนาแล้วควรจะรู้เรื่องอื่นไปบ้าง ตอนเริ่มระบาด มีการประชุมศาสนาที่มาเลย์ มีคนติดเชื้อแล้วเขาออกข่าวคนบ้านคุณก็ไม่สนใจ ยืนยันจะจัดงานต่อผมจำได้เลยเขาบอกกลัวพระเจ้ามากกว่าเชื้อโรค ตำรวจขอร้องก็ไม่สนใจ แบบนี้หมอเก่งแค่ไหนพร้อมแค่ไหนก็ไม่รอดหรอก
09 เม.ย. 2563 เวลา 01.12 น.
pongpipat คนไทยไปดาวะ 50 กว่าคน ติดเชื้อซะ 42 คน
อย่าบอกนะคนอินโดไม่ติดเชื้อ. แสดงว่าคนติดเชื้อมันปะปนอยู่ทั่วไป เพราะการตรวจเชื้อเขาไม่เพียงพอ เหมือนกับไทยช่วงแรกๆ ที่เลือกตรวจเฉพาะคนกลุ่มเสี่ยงที่มีอาการ เท่านั้น
อินโด ต้องเจออีกเยอะ
ไทยก็อย่าประมาท
09 เม.ย. 2563 เวลา 01.17 น.
บดินทร์ สงสัยยังอีกเยอะ แค่คนไทยกลับมายังติดเชื้อเกือบหมด
09 เม.ย. 2563 เวลา 01.38 น.
Charoen D. พระเจ้าลงโทษ..อย่าคิดมาก..!
09 เม.ย. 2563 เวลา 01.28 น.
นรสิงห์ บริหารประเทศอย่างนี้
สงสารคุณหมอจังเลย
09 เม.ย. 2563 เวลา 01.26 น.
ดูทั้งหมด