บันเทิง

ป๋ากิ๊ก เสียน้ำตาร้องไห้หนัก เล่าวันที่ทุกข์ ครอบครัวล้มละลาย แง่คิดชีวิตผ่านมรสุม

The Bangkok Insight
อัพเดต 07 ก.ย 2566 เวลา 07.25 น. • เผยแพร่ 07 ก.ย 2566 เวลา 07.20 น. • The Bangkok Insight

ป๋ากิ๊ก เสียน้ำตาร้องไห้หนัก เล่าวันที่ทุกข์ ครอบครัวล้มละลาย แง่คิดชีวิตผ่านมรสุม เรียนรู้ความสุขกับสิ่งที่มี

เกียรติ กิจเจริญ ถือเป็นหนึ่งในพิธีกรแถวหน้าของเมืองไทยที่สร้างเสียงหัวเราะและความบันเทิงให้กับผู้ชมผ่านภาพยนต์ ละคร และรายการต่าง ๆ มายาวนานกว่า 40 ปี จาก ซูโม่กิ๊ก ในรายการเพชฌฆาตความเครียด รายการแรกที่ทำให้ทุกคนรู้จัก สู่การเป็น ป๋ากิ๊ก ของเพื่อนนักแสดงทั้งรุ่นพี่และรุ่นน้อง รวมทั้งผู้ชมทั่วประเทศ คือบทพิสูจน์การทำงานที่ยืนหยัดด้วยคุณภาพและความสามารถ

โฆษณา - อ่านบทความต่อด้านล่าง

หากคาแรคเตอร์ความสนุกสนานเฮฮา คือเบื้องหน้าที่ทุกคนคุ้นเคย คุยกับอุ๋ย Episode นี้ ได้พาคุณไปพบกับเบื้องหลังชีวิตของผู้ชายธรรมดา ๆ คนหนึ่งในวัย 60 ที่ผ่านร้อนผ่านหนาว มีเรื่องราวให้ต้องก้าวข้ามมรสุมในชีวิตไม่แตกต่างจากคนทั่วไป และยังคงมีรอยน้ำตาเมื่อระลึกถึงทุกคำสอนของพ่อแม่ ที่หล่อหลอมความคิดในการมองตัวเอง มองผู้อื่น และมองโลก ที่อาจทำให้คุณได้แง่คิดดี ๆ เพื่อใช้ชีวิตให้มีความสุขกับทุก ๆ วินาทีที่ผ่านไปด้วยเช่นกัน

โดยช่วงหนึ่ง ป๋ากิ๊ก ได้เล่าเรื่องราวชีวิตตอนวัยรุ่น ครอบครัวล้มละลาย พ่อแม่เป็นคนสู้ทำทุกอย่าง เรียนรู้ความสุขกับสิ่งที่มี “สิ่งดี ๆ ที่พ่อสอนไว้มากมาย ครั้งพ่อมีชีวิตกับมุมมองแง่คิด อย่างวันหนึ่งนั่งรถไป ข้าง ๆ เป็นรถเบนซ์ เราจะอิจฉา แต่มองไปอีกข้างมีคนที่แย่กว่าเราอีกเยอะ พ่อมักจะสอนความจริง รถเบนซ์ ดูพ่อ แม่ ลูก เขานั่งต่างคนต่างนั่งหน้านิ่ง เฉย ๆ แล้วดูมอเตอร์ไซค์ พ่อนั่ง ลูกนั่ง แม่ซ้อน ถือห่วงยางกำลังไปเล่นน้ำ พ่อถามใครมีความสุขกว่ากัน”

โฆษณา - อ่านบทความต่อด้านล่าง

“ถามว่ารักพ่อมั้ย ถ้าพูดถึงสิ่งเหล่านี้เราจะใช้ชีวิตให้สบายให้มีความสุขอยู่ที่มุมมองว่าเราเอาไปเปรียบเทียบกับอะไร บางคนอาจมีความวสุขกับตัวเลขในบัญชี บางคนอาจจะมีความสุขกับรอยยิ้มของคนในครอบครัว บ้านไหนถึงเรียกว่ารวยจน บ้านใหญ่แค่ไหนก็ไม่เท่ากับบ้านที่เราอยู่สบายใจ เข้ามาแล้วยิ้มมีความสุข กับบ้านที่เข้ามาแล้วไม่มีใครเลยเงียบเหงา ใหญ่ไปก็เท่านั้น สิ่งเหล่านี้หากมองย้อนกลับไป น้อง ๆ ที่กำลังอยู่ในวัยต่อสู้กำลังสร้างตัว ถามว่าความสำเร็จคืออะไรความสำเร็จไม่ได้อยู่ที่จุดสุดท้าย เราสำเร็จกับเรื่องที่เล็ก ๆ น้อย ๆ ก็ได้”

“บ้านเคยล้มละลายพ่อโดนโกงเป็นหนี้เป็นสินเยอะมาก แม่บอกไม่เป็นไร แม่จะนำครอบครัวนี้ไปให้ได้และแม่ก็ทำได้ ตอนนั้นอายุ 15-16 จากบ้านมีรถหลายคัน พ่อแม่ไม่เคยโทษกันเลย ต่างคนต่างมุ่งมั่นที่จะก้าวต่อไป เพราะว่าแม่เป็นคนที่สู้มาก ถ้ามองย้อนกลับไปพ่อแม่สอนเราจากการกระทำ”

โฆษณา - อ่านบทความต่อด้านล่าง

“พ่อแม่ใช้ความสามารถที่มีในการต่อสู้ แม่ทำอาหาร พ่อใช้ความสามารถเรื่องบริหาร เขาออกไปจ่ายตลาด นึกภาพเจ้าของบริษัทนม โรงอุตสาหกรรมนม ไปเดินซื้อหมูซื้ออะไรเอง เขาก็ทำได้ คนในครอบครัวของพี่เองเรามีสุขร่วมเสพ มีทุกข์ร่วมต้าน เราบอกกันทุกเรื่อง ตอนที่ลำบากเราทำแบบนี้ เรามีคำถามไหมเรามีอยู่แล้ว วันนึงเราจะรู้เอง เราไม่รู้หรอกเขาผ่านอะไรมาบ้าง เราคิดบวกเขาไว้ ชีวิตเราเลือกคิดด้านดี ๆ ดีกว่า”

“จากที่มีรถมีคนขับ มีโน่นมีนี่ ต้องไปรถเมล์ ตังค์เคยมีเยอะแยะ ต้องกินน้อยหน่อย แต่อ๋อแค่นี้เอง มีเพื่อนอีกเยอะแยะนี่หว่า ที่ขึ้นรถเมล์ก็โอเคนี่ ตอนแรกก็รู้สึกกูไม่ใช่ลูกคุณหนูเหมือนสมัยก่อนแล้ว แต่สุดท้ายก็ไม่แปลกนี่หว่า กูก็เป็นไอ้กิ๊กเหมือนเดิม ชีวิตก็แค่นี้ สักพักก็จะอยู่ได้ ไม่ทุกข์แล้วนี่หว่า”

“ชีวิตเรา เราดูแลชีวิตเราเอง บอกตัวเองว่าเราเดินบนความสุขหรือความเศร้า เราสุขเพราะอะไรเราเศร้าเพราะอะไร อยู่กับตัวอยู่กับปัจจุบัน อดีตมองเป็นบทเรียน อนาคตอย่าไปหวังมาก หวังสูงมากเราอาจจะเฟล แต่ถ้าเราหวังน้อยเราประสบความสำเร็จในทุกวันแหละ”

อ่านข่าวเพิ่มเติม

ดูข่าวต้นฉบับ