ไม่มีใครที่ใช้ชีวิตอยู่บนโลกนี้โดยปราศจากปัญหา จะมาก จะน้อย ทุกคนต้องเผชิญกับ “มาร” ด้วยกันทั้งนั้น
"มาร" แปลว่า ผู้ฆ่าให้ตาย ซึ่งในพระพุทธศาสนา “มาร” หมายถึง ผู้ฆ่าเหล่าสัตว์ให้ตายจากคุณธรรมความดี คือสิ่งหรือตัวการที่คอยฆ่า ล้างผลาญ กำจัด ขัดขวางบุคคลไม่ให้บรรลุคุณธรรมความดีหรือผลสำเร็จอันดีงามได้
ในที่นี้ “มาร” ก็คือปัญหา คืออุปสรรคที่คอยขัดขวางการทำความดีนั่นเอง ซึ่งมีด้วยกันหลายประเภท และมาในหลากหลายรูปแบบ แม้แต่ตัวเราเอง คนใกล้ตัว คนข้างกาย คนที่เราไว้ใจที่สุดก็อาจกลายเป็นมารที่มาขวางกั้นการทำความดีได้เช่นกัน
พระพุทธเจ้าทรงกล่าวว่า “มาร” มี 5 รูปแบบได้แก่ ขันธมาร กิเลสมาร อภิสังขารมาร เทวบุตรมาร และมัจจุมาร ซึ่งเป็นมารที่เกิดขึ้นภายในตัวเราเอง
“ขันธมาร” ก็คือ ความเจ็บป่วยของเราเองที่มาขัดขวางการทำความดี ส่วน “กิเลสมาร” ก็คือเหล่ากิเลสทั้งหลาย โลภะ โมหะ โทสะที่อยู่ภายในตัวเรา “อภิสังขารมาร” คือบุญบาป คือความชั่วทำให้ขัดขวางมิให้บรรลุคุณธรรม “เทวบุตรมาร” คือเทวดาที่เกเรคอยขัดขวางมิให้คนทำดี และ “มัจจุมาร” ก็คือความตาย ซึ่งมารทั้ง 5 นี้ล้วนเกิดจากตัวเราเองทั้งสิ้นที่เป็นอุปสรรคไม่ให้เราทำความดีได้
แต่นอกจากมาร 5 ที่กล่าวมานี้แล้ว “มาร” ยังมาในรูปแบบอื่น ๆ ได้อีก เช่น เพื่อน ทั้งเพื่อนรอบตัว เพื่อนที่ทำงาน เพื่อนบ้าน เพื่อนเก่า เพื่อนใหม่ ซึ่งเพื่อนเหล่านี้จะคอยสร้างแต่ปัญหา ชักชวนกันไปในทางไม่ดี หรืออาจจะมาในรูปแบบของความยากจน อัตคัดขัดสน งานที่มีปัญหาไม่รู้จบ แม้กระทั่งในรูปแบบของคู่ชีวิต เจ้ากรรมนายเวรก็เป็นมารในรูปแบบหนึ่งที่ทำให้เราห่างไกลจากการทำความดีไปเรื่อย ๆ สุดท้ายก็กลายเป็นคนห่างบุญ
แต่ถ้ามองให้ลึก มองให้ดี “มาร” เหล่านี้ก็มีข้อดีไม่น้อย จุดสำคัญก็คือเราต้องรู้เท่าทัน ต้องมองเห็นว่ามารต่าง ๆ เหล่านี้สอนอะไรเราได้หลายอย่างเลยทีเดียว เช่น มารที่มาในรูปแบบของคู่ชีวิต เจ้ากรรมนายเวร ที่บางครั้งก็สร้างแต่เรื่องปวดหัว เรื่องร้อนในใจมาให้ มารเหล่านี้เข้ามาก็เพื่อให้เรารู้สึกตัว รู้จักฝึกจิตให้อดทน รู้จักยับยั้งชั่งใจไม่กระทำบาปกรรมตอบสนอง รู้ดีรู้ชั่ว ไม่สร้างเวรกรรมใหม่ผูกพันกันหนักขึ้นไปอีก ดังนั้นเพียงแต่รู้เท่าทัน “มาร” ก็ทำอะไรเราไม่ได้ และหากไม่มีมาร เราก็จะไม่รู้จักการสร้างบารมีนั่นเอง
ที่สำคัญจงระลึกไว้เสมอว่าการทำความดีก็เหมือนการเดินขึ้นเขา ทั้งยากเย็น ทั้งเหนื่อยล้า แต่พอถึงยอดเขาก็จะรู้เลยว่าระยะทางที่ผ่านมา ความยากลำบากที่ต้องเผชิญมันมีความหมายมากแค่ไหน
ส่วนการทำชั่วก็เหมือนเดินลงเขา ทั้งง่าย สบาย ไม่มีอุปสรรคขวากหนามใด ๆ ไหลไปตามกระแสน้ำเรื่อย ๆ ซึ่งกระแสแห่งความชั่วนี้ก็พร้อมจะพัดพาผู้คนให้ไหลไปรวมกันได้ง่าย ๆ ด้วยเหมือนกัน จึงไม่แปลกเลยที่คนชั่วจะมีจำนวนมากกว่าคนดี เพราะความชั่วทำง่าย ส่วนความดีนั้นทำได้ยาก ซึ่งคนที่คิดว่าง่ายคือคนไม่เคยทำดี..
มารไม่มี บารมีไม่เกิด คนจะประเสริฐไม่ได้
จะสร้างความดี ต้องมีมาร คืออุปสรรค
ถ้าไม่มีอุปสรรคเป็นความดีไม่ได้
ท่องไว้ ถ้าหากว่าไม่มีอุปสรรค คือความชั่ว
กำหนดรู้หนอ รู้หนอ รู้หนอ เขาอิจฉาเราหนอ แผ่เมตตาหนอ
อย่าไปตีต่อ อย่าไปอิจฉาเขาต่อ อย่าสร้างเวรกรรมเลย
จงสร้างศัตรูให้เป็นมิตร ให้เป็นคู่คิดในบ้าน
-หลวงพ่อจรัญ ฐิตธมฺโม-
อริยปราชญ์เมธี บ้านเมืองใด จำนวนคนชั่วมาก จะเกิดกลียุค ผู้คนเข่นฆ่า ประหัตประหารกัน ชนิดฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ เลือดนองท่วมแผ่นดิน
บ้านเมืองใด จำนวนคนปกติมีมาก ก็จะอยู่อย่างเงียบ ๆ ไม่เดือดร้อน แต่ก็ไม่มีความเจริญก้าวหน้าเกิดขึ้น
บ้านเมืองใด จำนวนคนดีมีมาก ก็จะมีแต่ความสุข ก้าวหน้าพัฒนา เต็มไปด้วยสิ่งเจริญหูเจริญตา
บ้านเมืองใด จำนวนผู้มีจิตบริสุทธิ์เพิ่มขึ้นมาก ก็จะเป็นเหมือนสวรรค์บนแผ่นดิน สงบสุข เป็นโลกพระศรีอริยเมตไตรยโดยแท้
06 ก.ย 2561 เวลา 14.39 น.
สุจินต์ ตัวเราคือแหล่งมาร. ฝึกขัดเกลา.เจริญสติทุกวัน. มารค่อยๆหมดไปจากเราทุกวัน
06 ก.ย 2561 เวลา 11.58 น.
อนุโมทนา สาธุ
06 ก.ย 2561 เวลา 15.15 น.
ดาวิกา เราจะไม่ยอมแพ้เจ้ามารทั้งหลาย
06 ก.ย 2561 เวลา 12.37 น.
@... ผมคิดว่าสิ่งที่จะทำให้เรานั้นหลุดพ้นจากอุปสรรคต่างๆได้นั้น ย่อมที่ต้องจะขึ้นอยู่กับสติ ปัญญา และจิตใจที่มั่นคงของเราเท่านั้นเอง.
06 ก.ย 2561 เวลา 13.14 น.
ดูทั้งหมด