ธุรกิจ-เศรษฐกิจ

จิตวิทยา “การจูงใจ” ให้คนคล้อยตามคุณ เคล็ดลับที่ใช้ได้กับทุกธุรกิจ

Marketing Oops
อัพเดต 24 ก.ค. 2560 เวลา 11.28 น. • เผยแพร่ 31 ก.ค. 2560 เวลา 01.00 น. • Bangorn Suwanmonkol

psychology_1
โฆษณา - อ่านบทความต่อด้านล่าง

มาเข้าใจกันก่อน “การจูงใจ” คืออะไร

คือวิธีการหรือการออกแบบ ให้คนเปลี่ยนความเชื่อหรือทัศนคติ หรือพฤติกรรม จากมุมมองปัจจุบัน ไปยังมุมมองใหม่ที่ผู้ที่โน้มน้าวต้องการพาไป

โฆษณา - อ่านบทความต่อด้านล่าง

ฟังแล้วเป็นไงคะ นี่เป็นไม่ใช่การสะกดจิตนะ แต่เป็นการเข้าใจจิตวิทยามนุษย์ ซึ่งเป็นทักษะพื้นฐานที่นักการตลาดทุกคนควรมี รวมถึงคนทั่วไปด้วย เพราะการจูงใจ เป็นทักษะที่เราต้องใช้ตลอดเวลา แทบทุกวัน เช่น

  • การจูงใจลูกค้า
  • การจูงใจเพื่อนร่วมงานให้ทำตามที่เราขอ
  • การจูงใจคนในครอบครัว
  • การจูงใจคนแปลกหน้า เพื่อให้ช่วยเหลือเราบางอย่าง

คำถามสำคัญ คือ เราจะทำอย่างไรให้คนอื่นๆ เชื่อและรู้สึกจูงใจ ในสิ่งที่เราสื่อสารหรือปฎิบัติ

วันนี้เลยอยากสรุปหลักการจูงใจคน ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากหนังสือที่ชื่อ The Psychology Of Persuasion ของ Robert B. Cialdini,Ph.D.  โดยประยุกต์รวมกับประสบการณ์ที่ผู้เขียนเจอมานะคะ

โฆษณา - อ่านบทความต่อด้านล่าง

ก่อนอื่นต้องบอกว่า การตัดสินใจทำพฤติกรรมอะไรบางอย่างนั้น เรามักจะคิดว่ามนุษย์ใช้เหตุผลมากมายในการตัดสินใจ แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่เลย หลายครั้งมนุษย์มีข้อมูลมากไป จนตัดสินใจยาก (Information Over Loaded) เราในฐานะนักการตลาด ต้องช่วยทำให้การตัดสินใจของผู้บริโภคนั้น “ง่ายขึ้น”  และเรียนรู้การ “กระตุ้นจูงใจ” ให้กลุ่มเป้าหมายคล้อยตามเรา

ทางลัดในการจูงใจผู้คนนั้น มี 6 วิธี :

1. การพึ่งพาซึ่งกันและกัน (Reciprocity) :

การที่เราจูงใจให้ผู้อื่นทำอะไรบางอย่าง ด้วยเทคนิคของการตอบแทนซึ่งกันและกัน โดยผู้รับเชื่อว่าเขาได้อะไรกลับมาเช่นกันหรือ เป็นการตอบแทนสิ่งที่คุณเคยทำให้เขามาก่อน เช่น

  • มีเพื่อนที่ทำงานชวนคุณไปงานวันเกิด คุณมักจะต้องคิดว่าเขาเคยดีกับคุณแค่ไหน หรือ คุณต้องพึ่งพาช่วยเหลือกับเขามากแค่ไหน ถ้ามีมาก คุณมักจะไม่กล้าปฎิเสธ ดังนั้นคุณตัดสินใจตอบรับทันที

  • ตัวอย่างของการให้ทิปพนักงาน เคยมีการศึกษาว่า ถ้ามีให้การลูกอมตอนที่พนักงานนำบิลไปให้ลูกค้าเพื่อชำระเงิน

  •  หากให้ลูกอม 1 เม็ด ทิปจะได้สูงกว่าปกติที่ไม่ให้เลย 3%

    •  หากให้ลูกอม 2 เม็ด ทิปจะได้สูงกว่าปกติที่ไม่ให้เลย 14% ซึ่งสูงมากขึ้นมาก
    •  หากให้ลูกอม 2 เม็ดด้วยวิธีการใหม่ ครั้งแรกให้ 1 เม็ด และพนักงานพูดว่า สำหรับลูกค้าที่น่ารักแบบคุณ วันนี“ขอเพิ่มลูกอมให้อีก 1 เม็ด” การทดลองจะพบว่า ทิปจะได้สูงกว่าปกติที่ไม่ให้เลยถึง 24%

สรุป : ดังนั้น ขอสรุปเทคนิคนี้ว่า 1) คุณต้องมีอะไรไปให้ หรือแลกเปลี่ยน 2) การให้ “อะไร” กับผู้ที่เราสื่อสาร ไม่สำคัญเท่าจะให้ “อย่างไร” ด้วย ดังนั้นวางแผนดีๆว่าให้ผู้รับรู้สึกอย่างไร 3) การสื่อสารนั้นต้อง personalized และ unexpected กับผู้รับเสมอ จึงจะได้ผลสูงสุด

2. ความขาดแคลน (Scarcity):       

หลักการนี้เชื่อว่ามนุษย์อยากได้ในสิ่งที่ตนเองจะขาดหรือไม่มี ดังนั้นในการจูงใจใครก็ตาม นอกจากสื่อสาร “ประโยชน์” ที่เขาจะได้รับแล้ว เราต้องสื่อสารถึง “ข้อแตกต่าง” และ “สิ่งที่เขาจะสูญเสีย” ถ้าไม่ตัดสินใจเลือกตามเราด้วย เช่น

  • ผู้เขียนเคยซื้อโต๊ะรับแขกเพื่อมาใช้ในห้องรับแขกของตัวเอง จากร้านชื่อดังย่านสุขุมวิท  เป็นโต๊ะที่ออกแบบโดยชาวธิเบต นอกจากความสวยงามของโต๊ะมันเองซึ่งโดนใจสุดๆแล้วนั้น (ฺBenefit) สิ่งที่ทางร้านจูงใจผู้เขียนมากๆคือ สื่อสารว่ามันคืองานศิลปะ เพราะมันมีการเพ้นท์ ไม่เหมือนโต๊ะอื่นๆทั่วไปที่ทำมาแค่ประโยชน์ใช้สอย (Uniqueness) สินค้าต้องส่งมาทางเรือเท่านั้น ตอนนี้มีคนกำลังเล็งอยู่เหมือนกัน และโต๊ะนี้มีอยู่ตัวเดียว ถ้าพลาดตัวนี้ไป อาจต้องรออีกหลายเดือน หรือกำหนดเวลาไม่ได้ เพราะของพวกนี้คือของเก่า และหายากมาก ไม่ได้ทำตาม order (Lose)เห็นไหมคะ การสื่อสารนี้ครบทั้ง 3 อย่างเลย ดังนั้นไม่ต้องถามนะคะ ว่าผู้เขียนเสียทรัพย์ไปเท่าไร เมื่อโดนคนขายจูงใจ ด้วยเทคนิคนี้

สรุปเทคนิค : คุณต้องจูงใจด้วย 3 สิ่งคือ Benefit + Uniqueness + Lose  ผู้อื่นจะทำตามคุณทันที

3. ความมีอำนาจหรือความเชี่ยวชาญ (Authority):

มนุษย์มักจะคล้อยตาม คนที่มี 3 เรื่องต่อไปนี้ คือ 1) คนที่น่าเชื่อถือ 2) คนที่มีความรู้ 3) คนที่มีความเชี่ยวชาญ​  ลองถามตัวเราเองว่าจริงไหม

ทำไมเวลาเราซื้อของด้านต่างๆ เราจะพยายามถามเพื่อนที่เก่งหรือสนใจด้านนั้นๆเพื่อเราเชื่อว่าเขามีความรู้มากกว่าเรา  หรือ ทำไมเวลาออกกำลังกายเราจะเชื่อ Trainer มากกว่าเพื่อนเราที่เริ่มออกกำลังกายด้วยกัน เพราะเราเชือว่า Trainer คือคนที่เรียนรู้ด้านนี้มาแล้ว

นักการตลาด สามารถนำแนวคิดนี้ไปใช้ได้มากมายตัวอย่าง*เช่น *

  • มีการทดสอบในธุรกิจนายหน้าขายบ้าน เมื่อลูกค้าโทรมาที่พนักงานต้อนรับ และเมื่อพนักงานจะโอนไปหาที่ปรึกษาหรือนายหน้า เขาจะพูดว่า ดิฉันจะโอนสายของคุณไปยังคุณ ผู้เชี่ยวชาญด้านอสังหาริมทรัพย์ ที่มีประสบการณ์กว่า 20 ปี พบว่าวิธีการนี้สามารถเพิ่มยอดการนัดหมายได้ 20% และยอดในการเซ็นต์สัญญาได้ถึง 15%
  • หรือทำไมร้านขายยา ต้องมีป้ายเพื่อยืนยันว่ามีเภสัชกรอย่างเป็นทางการในร้านนี้ หรือทำไมเราจึงคาดหวังให้หมอใส่ชุดกราวน์ หรือเรามักจะทำตามคนที่ใส่เครื่องแบบที่ดูเป็นเจ้าหน้าที่  เพราะมนุษย์ทุกคน มักจะคล้อยตามคนที่มี Authority นั่นเอง

สรุปเทคนิค : การใช้เทคนิคนี้ ต้องใช้อย่างมีจริยธรรม หมายถึงเราต้องสื่อสารด้วยเรื่องจริงเท่านั้น รวมถึงต้องไม่สร้างค่าใช้จ่ายสูงในการปฎิบัติ  การจูงใจถึงจะได้ผลสูงสุด

4. ความสอดคล้องและความยึดมั่น (Consistency): 

แนวคิดนี้คือการมองหาหรือขอข้อตกลงร่วมกัน จากผู้ที่เราอยากจะสื่อสารด้วย โดยต้องเกิดจากตัวเขาเองก่อน เพื่อให้เขามีส่วนร่วมกับเราในเชิงพฤติกรรมในอนาคต เช่น

  • ในโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง ต้องการแก้ปัญหาการเรื่องการผิดนัดหมายของคนไข้  จึงเปลี่ยนการนัดหมายจากที่ระบุเวลาโดยโรงพยาบาลแล้วแจ้งคนไข้  ให้เป็นอีกวิธีคือ ให้กระดาษเปล่าเพื่อให้คนไข้เขียนเองว่าจะมาวันไหน เวลาไหน เพื่อให้คนไข้ส่วนร่วมในการกำหนดวันนัดและรู้สึกถึงความรับผิดชอบร่วมกันในการมาตามนัดหมาย ที่ตัวเองเลือกและตัดสินใจเอง ทำให้ช่วยมีอัตราการยกเลิกนัดน้อยลงมาก กว่าวิธีการทำงานเดิมๆ

สรุปเทคนิค : การใช้เทคนิคนี้ ต้องให้กลุ่มเป้าหมายมีส่วนร่วม ในการกำหนดพฤติกรรมที่คาดหวังในอนาคตร่วมกันด้วย

5. ความชอบ (Liking):

แนวคิดว่ามีความเชื่อว่า มนุษย์มักจะชอบคนที่มีลักษณะต่อไปนี้ 1) คนที่คล้ายๆกับเรา 2) คนที่ชื่อชมเรา 3) คนที่ร่วมมือกับเรา

ดังนั้นเรา ถ้าอยากให้คนที่สื่อสารด้วยชอบเรา เราต้องให้ใช้เทคนิคนี้ เพื่อให้เกิดแรงจูงใจในการคล้อยตามเรา เช่น

  • มีการทดลองเกี่ยวกับการเจรจาทางธุรกิจ โดยมีกลุ่มแรกที่เชื่อว่า เวลานั้นมีค่า เมื่อเริ่มเจรจา ให้คุยเรื่องธุรกิจทันที ซึ่งพบว่าการเจรจานั้นสำเร็จเพียง 50% ในขณะเดียวกันการทดลองกลุ่มที่ 2 ได้มีการเปิดโอกาสให้ ทั้งสองฝ่ายพูดคุยทำความรู้จักและศึกษาความสนใจของทั้งสองฝ่ายก่อน แล้วหาสิ่งที่สนใจร่วมกัน (similarity) แล้วให้มีการให้ความชื่นชมในสิ่งนั้นด้วย พบว่าจะปิดการขายได้ถึง 90%  การจูงใจนี้เหมาะมากกับ ธุรกิจที่เป็น BtoB หรือการติดต่อธุรกิจกับคนใหม่ๆมาก

สรุปเทคนิค :  การหาความสนใจร่วมหรือสิ่งที่คล้ายกัน กับผู้ที่เราสื่อสาร และเสริมแรงด้วยการมีคำชื่นชม คุณจะได้ใจของผู้ที่คุณจะสื่อสารด้วยทันที การเจรจา จูงใจอะไรก็จะง่ายขึ้น

*6. ความคิดเห็นของคนส่วนใหญ่ (Consensus): *

มนุษย์จะดูสิ่งที่คนส่วนใหญ่ทำ เพื่อใช้ในการตัดสินใจของตนเอง  ดังนั้นสิ่งที่คนส่วนใหญ่ปฎิบัติจะมีผลต่อพฤติกรรมของคนอื่นๆด้วย อันนี้จริงไหมคะ ลองนึกถึงเวลาเราขับรถไปต่างจังหวัด แล้วมักจะมีของดีประจำจังหวัด ที่ขายข้างทาง ทุกร้านเหมือนๆกัน แล้วร้านไหนที่เราแวะคะ หนึ่งในนั้นคือร้านที่มีคนเยอะๆ ใช่ไหม ? หรือทำไมเวลาเลือกซื้อสินค้าบางอย่าง แล้วมีป้ายว่าสินค้าขายดี เราจึงรู้สึกสนใจเป็นพิเศษ

  • ยกตัวอย่างอีกอันคือ การจูงใจให้ใช้ผ้าเช็ดตัวซ้ำ (Reuse) สิ่งที่สื่อสารโดยทั่วไปคือ จูงใจให้ใช้เพื่อรักษาธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม อันนี้ไม่ค่อยได้ผล เพราะผู้ใช้งานคิดว่าตัวเองไม่ได้ประโยชน์อะไร แต่ถ้าลองพูดว่า “75% ของลูกค้าที่พักห้องนี้ นำผ้าเช็ดตัวนี้ใช้ซ้ำ” สามารถเปลี่ยนพฤติกรรมให้คนใช้ผ้าเช็ดตัวซ้ำถึง 33%

สรุปเทคนิค : เทคนิคนี้คือ การทำให้เห็นว่าคนส่วนใหญ่ทำอะไร และการสื่อสารจูงใจต้องเจาะลงไปที่รายบุคคลเลย จะยิ่งได้ผลยิ่งขึ้น

สามารถอ่านสรุปแบบวิดีโอได้ที่นี่

หวังว่าเทคนิคทั้งหมดจะมีประโยชน์นะคะ มีความรู้ ถ้าได้นำไปใช้จะเกิดการจดจำ และพัฒนาเป็นทักษะประจำตัวในที่สุดคะ

 

 

 

 

เขียนโดย บังอร สุวรรณมงคล
ผู้ก่อตั้งบริษัท Hummingbirds ซึ่งเป็นบริษัทที่ปรึกษาด้านการวางแผนการตลาดเชิงกลยุทธ์โดยผ่านงานวิจัยการตลาด

อ่านบทความ Exclusive Insider เพิ่มเติมได้ที่นี่

Copyright © MarketingOops.com

อ่านบทความทั้งหมด ที่ MarketingOops.com

ดูข่าวต้นฉบับ
ความเห็น 1
  • ทัศน์
    กลับพม่า กลับเขมร กลับลาวหมดแล้วครับ!!!
    01 ส.ค. 2560 เวลา 12.45 น.
ดูทั้งหมด