In focus
- เมื่อวันศุกร์ที่ 23 ส.ค. จีนประกาศขึ้นอัตราภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ ทำให้โดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศขึ้นภาษีตอบโต้ในทันควัน แถมสั่งให้บริษัทอเมริกันเก็บกระเป๋าย้ายไปลงทุนที่อื่นนอกจากจีน
- อาจมีคนสงสัยว่า ประธานาธิบดีสหรัฐฯ มีอำนาจอะไรที่จะมาสั่งผู้ประกอบการเอกชนที่ต้องแข่งขันเสรีในตลาดโลก แต่ผู้รู้บอกว่า ภายใต้ระบอบแบบอเมริกัน ซึ่งออกแบบให้ฝ่ายบริหารมีความเข้มแข็ง ทรัมป์มีเครื่องมือทางนโยบายหลายอย่างที่จะนำมาใช้ได้ โดยไม่ต้องผ่านความเห็นชอบของสภาคองเกรส
สงครามการค้า จีน-สหรัฐฯ ทวีความร้อนแรงเมื่อปลายสัปดาห์ นอกจากขึ้นภาษีสินค้านำเข้าตอบโต้การขึ้นภาษีของจีนแล้ว ผู้นำทำเนียบขาวยัง “สั่งให้บริษัทอเมริกันกลับบ้าน” อีกด้วย แม้ฟังดูเกินอำนาจประธานาธิบดี แต่ผู้รู้บอกว่า โดนัลด์ ทรัมป์ ทำได้
เมื่อวันศุกร์ (23 ส.ค.) จีนประกาศขึ้นอัตราภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ ทำให้ผู้นำวอชิงตันตอบโต้ในทันควัน แถมยัง ‘สั่ง’ ให้บริษัทอเมริกันเก็บกระเป๋าย้ายไปลงทุนที่อื่น
ทรัมป์ประกาศว่า สหรัฐฯ จะเรียกเก็บภาษีสินค้าจีน มูลค่ารวม 550,000 ล้านดอลลาร์ฯ เพิ่มขึ้นอีก 5% โดยสินค้าจีน จำพวกวัตถุดิบ เครื่องจักร และผลิตภัณฑ์สำเร็จรูป มูลค่า 250,000 ล้านดอลลาร์ฯ ซึ่งปัจจุบันเก็บในอัตรา 25% จะขึ้นเป็น 30% เริ่มมีผลในวันที่ 1 ตุลาคม
สินค้าจีนส่วนที่เหลือ จำพวกสินค้าผู้บริโภค มูลค่า 300,000 ล้านดอลลาร์ฯ จะเก็บเพิ่มจาก 10% เป็น 15% โดยบางส่วนจะเริ่มเก็บในวันที่ 1 กันยายน และที่เหลือจะมีผลในวันที่ 15 ธันวาคม
ผู้นำสหรัฐฯ ประกาศเรื่องนี้หลังจากกระทรวงพาณิชย์ของจีนประกาศในวันเดียวกัน ว่า สินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ รวม 5,078 รายการ จะถูกเรียกเก็บภาษีเพิ่ม บางรายการขึ้น 5% บางรายการขึ้น 10% ขณะเดียวกัน อัตราภาษีใหม่ 25% สำหรับรถยนต์ และ 5% สำหรับอะไหล่ยานยนต์ ที่เคยระงับไว้เมื่อเดือนธันวาคม ก็จะเริ่มเก็บเช่นกัน โดยเริ่มมีผล 1 กันยายน และ 15 ธันวาคม
การประกาศขึ้นภาษีตอบโต้กันเมื่อปลายสัปดาห์ ทำให้หุ้นตก ราคาน้ำมันดิบร่วง เพราะตลาดกังวลว่า สงครามการค้าจะฉุดเศรษฐกิจโลกถดถอย ทรัมป์ประกาศตอนตลาดหลายแห่งในโลกปิดทำการไปแล้ว จึงต้องคอยดูว่า เมื่อเปิดตลาดในวันจันทร์ มูลค่าสินทรัพย์ต่างๆ จะดิ่งลึกขนาดไหน
อย่างไรก็ตาม ประเด็นที่สร้างความฮือฮานั้น อยู่ในข้อความทวีตของทรัมป์ในช่วงเช้าวันศุกร์ ซึ่งเขาโพล่งว่า “เราไม่ต้องการจีน พูดกันอย่างเปิดอก ไม่มีจีนเลยจะดีกว่านี้มาก จีนทำเงินและขโมยเงินจากสหรัฐฯ ปีแล้วปีเล่ามานานหลายทศวรรษ พอกันที”
“ดังนั้น ขอสั่งให้บริษัทอเมริกันเริ่มมองหาแหล่งลงทุนอื่นนอกเหนือจากจีนเดี๋ยวนี้ ย้ายบริษัทกลับบ้าน กลับมาผลิตในสหรัฐอเมริกา”
พอประกาศเปรี้ยงออกมาอย่างนี้ เกิดเสียงถามไถ่อึงคะนึงว่า ประธานาธิบดีสหรัฐฯ มีอำนาจอะไรที่จะมาสั่งผู้ประกอบการเอกชนที่ต้องแข่งขันเสรีในตลาดโลก
ทว่าผู้รู้บอกว่า ภายใต้ระบอบแบบอเมริกัน ซึ่งออกแบบให้ฝ่ายบริหารมีความเข้มแข็ง ผู้นำทำเนียบขาวมีเครื่องมือทางนโยบายหลายอย่างที่จะนำมาใช้ได้ โดยไม่ต้องผ่านความเห็นชอบของสภาคองเกรส
ขึ้นภาษีนำเข้าสุดโหด
เครื่องมืออย่างแรก ทรัมป์ใช้อยู่แล้ว ถ้าอยากบีบให้บริษัทอเมริกันถอนสมอออกจากจีน ทรัมป์ก็เพียงแต่ขึ้นภาษีสินค้านำเข้าให้ถึงระดับที่บริษัทเหล่านั้นเจอสภาพกำไรหด เพราะภาษีที่แพงมหาโหดจะทำให้สินค้าที่ผลิตในจีนส่งออกไปขายในสหรัฐฯ สู้สินค้าจากแหล่งผลิตอื่นๆ ไม่ได้
เจอไม้นี้เข้าไปหนักๆ คาดกันว่า บริษัทอเมริกันที่เข้าไปร่วมทุนกับบริษัทจีน คงต้องย้ายโรงงาน ย้ายสถานประกอบการ หนีออกจากเมืองจีน
ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน
หัวหน้าฝ่ายบริหารของสหรัฐฯ มีดาบอาญาสิทธิ์อยู่ในมือเล่มหนึ่ง มีชื่อเรียกว่า “รัฐบัญญัติอำนาจในสถานการณ์ฉุกเฉินด้านเศรษฐกิจระหว่างประเทศ ค.ศ. 1977”
กฎหมายฉบับนี้เปิดทางให้ประธานาธิบดีประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน เมื่อประกาศแล้วก็สามารถบังคับใช้มาตรการคว่ำบาตรได้ อาจคว่ำบาตรเป็นรายบริษัท หรือคว่ำบาตรภาคเศรษฐกิจอย่างหนึ่งอย่างใดทั้งภาค
ผู้รู้ยกตัวอย่างให้ฟังว่า สมมติประกาศว่า จีนขโมยทรัพย์สินทางปัญญาของบริษัทอเมริกัน ถือเป็นสถานการณ์ฉุกเฉิน ทรัมป์สามารถสั่งห้ามบริษัทอเมริกันไม่ให้ซื้อสินค้าเทคโนโลยีของจีนได้
ในอดีต ผู้นำสหรัฐฯ เคยงัดกฎหมายฉบับนี้ขึ้นมาใช้หลายครั้ง เช่น เมื่อคราวประธานาธิบดีจิมมี คาร์เตอร์ ออกคำสั่งเมื่อปี 1979 สกัดกั้นการถ่ายโอนสินทรัพย์ของรัฐบาลอิหร่านผ่านระบบการเงินของสหรัฐฯ เป็นต้น
อย่างไรก็ดี ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่า ดาบเล่มนี้มีสองคม ขณะที่ใช้เล่นงานปรปักษ์ มาตรการคว่ำบาตรนั้นอาจส่งผลสะท้อนย้อนกลับเข้าหาตัวผู้ใช้เองด้วย จึงต้องประเมินให้ดีว่า ถ้าจีนคว่ำบาตรตอบโต้ ประเทศสหรัฐฯ และบริษัทอเมริกัน จะเผชิญผลลัพธ์อย่างไร
นอกจากนี้ ด้วยระบบถ่วงดุลการใช้อำนาจของฝ่ายบริหาร ใครได้รับความเสียหายจากการคว่ำบาตร ก็สามารถนำเรื่องขึ้นฟ้องร้องในศาลยุติธรรมของสหรัฐฯ ได้
ห้ามประมูลงานของรัฐ
เครื่องมืออีกอย่างของประธานาธิบดีสหรัฐฯ คือ ห้ามบริษัทอเมริกันที่ประกอบการในจีนเข้าแข่งขันประกวดราคาในการจัดซื้อจัดจ้างของรัฐบาลกลาง
อำนาจในการออกคำสั่งฝ่ายบริหารที่ว่านี้ อาจใช้บีบคั้นบริษัทยักษ์ใหญ่ทั้งหลายได้ เช่น กรณีของโบอิ้ง ซึ่งเข้าไปตั้งโรงงานผลิตเครื่องบินรุ่น 737 แบบครบวงจรในจีน ด้วยเป้าหมายที่จะแซงหน้าคู่แข่งอย่างแอร์บัสของยุโรปที่ขยายกิจการในจีนเช่นกัน เนื่องจากตลาดการบินของจีนกำลังจะเติบโตขึ้นแท่นอันดับหนึ่งของโลกแทนที่สหรัฐฯ ในทศวรรษหน้า
เมื่อใช้มาตรการนี้ ถ้ายังอยากขายอาวุธให้เพนตากอนต่อไป โบอิ้งต้องถอนตัวออกจากจีน
ห้ามค้าขายกับคู่สงคราม
ทางเลือกสุดท้าย คือ บังคับใช้กฎหมายที่เรียกว่า รัฐบัญญัติการค้ากับประเทศศัตรู ซึ่งผ่านสภาคองเกรสเมื่อตอนสงครามโลกครั้งที่ 1
กฎหมายฉบับนี้เปิดทางให้ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ควบคุมหรือลงโทษกิจการที่ค้าขายกับประเทศที่อเมริกาทำสงครามด้วย
อย่างไรก็ดี ผู้รู้บอกว่า ทรัมป์คงไม่ใช้ท่าไม้ตายนี้ เพราะการประกาศว่า จีนคือศัตรู จะทำให้ความตึงเครียดกับปักกิ่งบานปลายกลายเป็นวิกฤต.
อ้างอิง:
ภาพ: REUTERS/Kevin Lamarque
Chanwit สาธุ รีบเลยจะรอดู ว่าใครจะไปก่อนกัน ทำมาเยอะ ยังไม่เกิดผลใดๆ
25 ส.ค. 2562 เวลา 17.24 น.
McCoy กลัวต่อไปถึงจะแพงเท่าไร เพราะไปทำที่ usa ก็ยังมีความต้องการอยู่ดี
25 ส.ค. 2562 เวลา 23.16 น.
✈️✈️🛩️🛩️🚁🚁🚀✈️✈️🛩️🛩️🚁🚁✈️✈️🚁🚁🚀✈️✈️ ส้มหล่นมาแถวนี้ ถ้าทีมทรัมป์ไม่เตรียมแผน2ไว้ ไฉนจะกล้าถีบหัวส่ง การมาของแทมมี่ เขาพบพระเทพ ไม่ได้มาเเบบเปล่าๆ การไม่ปล่อยวีีีซ่าให้เสื้อแดงบางคน
คือการง้อคืนดีแบบสุดๆๆ ข้ออ้างว่าเป็นมิตรประเทศมานานวัน และชื่นชมประชาธิปไตยแบบไทยไฟ อวยสุดๆๆๆ
25 ส.ค. 2562 เวลา 19.18 น.
S#T ü m ž กลับหมดเมื่อไร iPhone เครื่องละ 70,000 บาท แน่นอน
25 ส.ค. 2562 เวลา 18.00 น.
Littleduck รีบๆทำเถอะ ไอ้ทรัมป์เอ๋ย บริษัทไอโฟนจะได้พังพินาศแน่มึง คนในประเทศตกงานหมดแน่คราวนี้ มีผู้นำเอาแต่ผลประโยชน์ตัวเอง ไม่คิดถึง ปชช ในประเทศ ตูอยากเห็นจีนและอีกหลายๆประเทศทำแบบมึงบ้าง อยากรู้จริงๆ มึงจะอยู่ประเทศเดียวได้ไหม เก่งจริงๆ บ้าอำนาจมากก
25 ส.ค. 2562 เวลา 18.10 น.
ดูทั้งหมด