ไลฟ์สไตล์

"ดอกทอง" มรดกจากบรรพบุรุษ ส่งทอดถึงปัจจุบัน - เพจละครสะท้อนอะไร

TOP PICK TODAY
เผยแพร่ 21 พ.ค. 2563 เวลา 03.40 น. • เพจละครสะท้อนอะไร

 

คราวที่แล้วพูดถึงละครเรื่อง “มงกุฎดอกส้ม” ไป มันก็ทำให้นึกถึงละครภาคต่อที่เขียนบทสดร้อนจนกลายเป็นกระแสที่ดังตูมตามในยุคนั้นคือ “ดอกส้มสีทอง” โดยปกติแล้วดอกส้มจะเป็นดอกไม้ที่เฉาง่าย ในตอนแรกเป็นสีขาว ผ่านไปก็จะแห้งเหลือง….แต่ดูจากพฤติกรรมของตัวละครในเรื่องเราทุกคนรู้กันดีว่าสัญญะที่ต้องการจะสื่อ น่าจะหมายถึง “ดอกทอง” แล้วล่ะ

โฆษณา - อ่านบทความต่อด้านล่าง

 

แล้ว…ทำไมต้อง ”ดอกทอง”

 

โฆษณา - อ่านบทความต่อด้านล่าง

 

 

โฆษณา - อ่านบทความต่อด้านล่าง

ในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถานปีพุทธศักราช 2554 หรือยุคปัจจุบันได้นิยามความหมายของคำๆนี้เอาไว้ว่าหมายถึงหญิงใจง่ายในทางประเวณี” 

ซึ่งพอย้อนความหลังในประวัติศาสตร์จะสามารถกล่าวได้ว่าดอกทอง” นั้นเป็นคำที่อยู่คู่คนไทยมานานกว่าที่คิด หลายคนอาจจะรู้สึกแสลงหูกับคำนี้ แต่เราจะไขว้นิ้วอีฟไว้ซักวัน เพื่อตามหาสิ่งที่สะท้อนประวัติศาสตร์ สะท้อนสังคม จากคำนี้กัน

 

[รัชกาลที่ 5]

 

ในหนังสืออักขราภิธานศรับท์ ของหมอบรัดเลย์เมื่อปี 2416 ได้มีการเขียนเอาไว้ว่า

หญิงดอกทองเปนหญิงคนชั่วนั้น, เหมือนอย่างหญิงพวกกรอกสำเพง

 

ในยุคนั้นมีซ่องโสเภณีชื่อดัง ถึงขั้นมีคำด่าในยุคนั้นว่า “หญิงสำเพ็ง” มีความหมายถึงหญิงขายตัว ที่โด่งดังที่สุดเห็นว่าจะเป็นซ่องยายแฟง ที่สาวๆขายเนื้อขายตัวจนแม่เล้าร่ำรวยพอจะสร้างโรงพยาบาลและวัดเอาบุญกันได้ ว่ากันว่าโสเภณียุคนั้นนิยมสวมใส่ผ้าถุงลายนอกไม้สีทองเป็นสัญลักษณ์กัน

 

 

[เสภาขุนช้างขุนแผน]

 

วรรณคดีเรื่องนี้พวกเรารู้จักกันดี เพราะมีให้เรียนกันมาตั้งแต่เด็กๆ แต่ถ้าใครได้ลองอ่านฉบับเต็มๆ นอกจากที่คัดมาให้อ่านในตำราเรียน จะพบว่าวรรณคดีเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ตัวละครปากร้าย ด่าได้ดุเด็ดเผ็ดมันส์ไม่แพ้แม่ค้าตามตลาดเลยทีเดียว ที่น่าสนใจคือมีกลอนบทหนึ่งพูดถึง “ดอกไม้” ที่ใช้เป็นคำด่าอยู่เหมือนกัน

 

“มึงสิอีดอกตำแยอ่อน มึงแหละอีระยำตำบอน มึงอีนอนแผ่หราไม่น่าคบ มึงอีลาวนุ่มซิ่นกินแต่อึ่ง ทุดมึงอีชาวเหนือกินแต่กบ มึงชั่วช้าสารพัดบัดซบ มึงเย่อหยิ่งน่าตบให้ตาลาย”

 

“อีดอกตำแย” เป็นคำโบราณที่มักใช้ด่าหญิงสมสู่ไม่เลือก เพราะดอกตำแยมีฤทธิ์ทำให้คัน เปรียบเหมือนหญิงที่คันหูไม่รู้เป็นอะไร อยากได้ผู้ชายมาตำเพื่อคลายอาการ นอกจากดอกตำแยแล้ว ยังมีดอกไม้อีกชนิดที่เรียกแบบตรงๆตัวว่า ‘ว่านดอกทอง’ ดอกของมันมีสีขาวแต่โคนเป็นสีเหลืองสด ว่ากันว่าว่านนี้มีฤทธิ์ทำให้คนลุ่มหลง ดมกลิ่นแล้วทำให้กระสัน หญิงได้กลิ่นจะทนกำหนัดไม่ไหวจนต้องคบชู้สู่ชาย ถึงขั้นมีคำกล่าวว่า “ว่านดอกทองออกดอกเมื่อไหร่ หญิงในหมู่บ้านจะเสียคน ว่านดอกทองเป็นเสนียดจัญไร

 

 

[กรุงธนบุรี]

 

ในนิราศกวางตุ้ง (พ.ศ. 2324) ของพระยามหานุภาพ (อัน) ได้มีการเขียนเอาไว้ว่า

 

“ที่ภักดีโดยการก็งานเปลือง ไม่ยักเยื้องกริยาเหมือนราไชย เมื่อท่านยุกรบัตรหาปรึกษาของ ก็ปิดป้องโรคาไม่มาได้ เอาอาสัจที่วิบัตินั้นบอกไป พะวงใจอยู่ด้วยรักข้างลักชม อีดอกทองราวทองธรรมชาติ พิศวาสมิได้เว้นวันสม จนโรคันปันทบข้างอุปทม เสน่หาส่าลมขึ้นเต็มตัว”

 

ว่าด้วยขุนนางที่ชื่อว่าหลวงราไชยที่ไปดูงานที่เมืองกวางโจวแล้วดันเอาแต่ติดโสเภณีจนติดกามโรค

 

 

[อยุธยาตอนต้น]

 

คำๆนี้ถูกพูดถึงในหลักฐานทางประวัติศาสตร์อย่างหนึ่งคือ ‘บทไอยการลักษณะวิวาทตีด่ากัน มาตรา 36’ ซึ่งตรงกับสมัยพระบาทสมเด็จพระบรมมไตรโลกนาถ

 

มาตราหนึ่งด่าท่านว่าไอ้อี่ขี้ตรุขี้เมาขี้โขมยขี้ช่อขี้ฉกลักขี้ลวงคนฃายขี้โซ่ขี้ตรวนขี้ขื่อขี้คาขี้ถองขี้ทุบขี้ตบขี้คุกขี้เค้าขี้ประจานคนเสียขี้ขายคนกินทังโคดขี้ครอกขี้ข้าขี้ถ้อยแลด่าว่าไอ้อี่คนเสียคนกระยาจกคนอัประหลักคนบ้าคนใบ้ก็ดีแลด่าว่าไอ้สับปลับอี่สับปรับอี่มักชู้อี่มักผัวมึงทำชู้เหนือผัวกูก็ดีแลด่าท่านว่าอี่แสนหกแสนขี้จาบอี่ดอกทองอี่เยดซ้อนก็ดีสรรพด่ากันแต่ตัวประการใดๆท่านให้ปรับไหมโดยยศถาศักดิลาหนึ่งถ้าด่าถึงโคตเค้าเถ้าแก่ให้ไหมทวีคูณ

เรียกได้ว่าข้อหาหมิ่นประมาทมีมาตั้งแต่อยุธยาเลยก็ว่าได้แต่อย่างน้อยบันทึกนี้ก็ทำให้เรารู้ว่าคำด่านี้มีมานานตั้งแต่สมัยยังนุ่งสไบและน่าจะด่าติดปากจนทางการต้องสั่งห้ามด่าเลยทีเดียว

 

[หลักฐานโบราณ สนับสนุนยุคสมัย]

นอกจากคำๆนี้จะอยู่ในกฎหมายแล้วยังอยู่ในวรรณคดีไทยแบบตรงๆอีกด้วยใช่ฟังไม่ผิดวรรณคดีไทยที่มีนางเอกหน้าใสๆอย่างนอกมโนราห์นี่แหละตอนนั้นนางคันตัวอยากไปอาบน้ำแต่แม่เห็นว่าดวงจะโดนฉุดเลยห้ามไม่ให้ไปประสาคนต่างเจนคุยกันความหวังดีเสียงนุ่มๆเลยกลายเป็นทะเลาะกันเฉ๊ยเทียบกับยุคนี้ก็คงอารมณ์ลูกสาวอยากไปแดนซ์ในผับแล้วโดนแม่เบรคเพราะห่วงกลัวเจอคนไม่ดีมาทำร้ายมุมลูกสาวตอนแรกก็แค่อยากไปศึกษาดนตรีขยับร่างกายซักหน่อยเจอแม่ฉอดว่าอยากได้ผัวนักเรอะไงถึงไปที่อโคจรแบบนั้นนังดอกทองกลายเป็นที่มาของกลอนสุดแซ่บว่า

 

นางแม่ของลูกอาแม่  มาด่าลูกไม่ถูกต้องทั้งพี่ทั้งน้อง  เหล่าเราดอกทองเหมือนกัน  ดอกทองสิ้นทั้งเผ่า  เหล่าเราดอกทองสิ้นทั้งพันธุ์ดอกทองเสมือนกันทั้งองค์พระราชมารดา

 

จะบอกว่าคนไทยนี่ปากร้ายกันตั้งแต่ดึกดำบรรพ์เลยก็ว่าได้นะเนี่ย ด่าแต่ละคำที่เป็นอันต้องซู๊ดปากเลย555

 

ติดตามบทความใหม่ ๆ จาก ละครสะท้อนอะไร ได้ทุกวันพฤหัสบดี บน LINE TODAY และหากสามารถอ่านบทความอื่นได้ที่เพจละครสะท้อนอะไร

ความเห็น 15
  • ชีวิตของคนเรานั้นจะดีหรือว่าชั่วก็ขึ้นอยู่กับที่ตัวเราทำ เพราะทุกอย่างตัวเราเองเท่านั้นซึ่งจะเป็นผู้กำหนดเอง โทษใครไม่ได้เลย.
    21 พ.ค. 2563 เวลา 06.33 น.
  • N 🚥🚦🚥 C
    ถ้าเจตนาประทุษร้ายผู้อื่นด้วยคำพูด มันก็คือวจีทุจริต
    21 พ.ค. 2563 เวลา 09.21 น.
  • พี่ฟู
    มันก็แค่คำๆหนึ่ง​ ทุกอย่างล้วนอยู่​ที่ใจ​ทั้งสิ้น​ คิดดีคิดชั่ว​ คิดผิดคิดถูก​ ใจเราเป็นตัวกำห​นด​
    21 พ.ค. 2563 เวลา 08.37 น.
  • แม่น้องมุกจัง
    เมื่อก่อนป้าก็โดนคนอื่นเค้าด่า อีลาวเหนือเราก็เฉยๆ แต่พอเราด่ามันมั่ง อีผี้เสื้อสมุทรสำลักงูเหลือม มันหาว่าหยาบคาย เซ็ง
    21 พ.ค. 2563 เวลา 11.31 น.
  • ?
    งานเขียนคุณภาพจากนักเขียนคุณภาพ แน่ใจหรือ ? แต่ฉันว่า มันจงใจว่าคน เพราะคนด่าพวกแก แกก็เดือดร้อน
    21 พ.ค. 2563 เวลา 12.53 น.
ดูทั้งหมด