เมื่อไรที่วิกฤตโควิด ในประเทศไทย ถึงจะสิ้นสุด
วิกฤตโควิดเป็นวิกฤตที่จะเปลี่ยนโฉมหน้าของโลกและสังคมไทยอย่างสิ้นเชิง
และถึงแม้จะยังไม่มีนักอนาคตศาสตร์คนไหนพูดถึงโลกและสังคมใหม่ยุคหลังโควิดอย่างเป็นระบบ
แต่แทบทุกคนเห็นภาพตรงกันว่าโลกยุคหลังโควิดแตกต่างกับโลกยุคก่อนโควิดแน่ๆ
จนจำเป็นที่ต้องมีการคิดใหม่ทำใหม่เพื่อรองรับโลกที่เปลี่ยนไปแบบที่คาดการณ์ไม่ได้เลย
ประธานาธิบดีสหรัฐกับราชินีอังกฤษพูดตรงกันว่าวิกฤตโควิดรุนแรงเหมือนสงคราม
นายกฯ ญี่ปุ่นก็ระบุว่า สถานการณ์ตอนนี้เลวร้ายที่สุดหลังสงครามโลกครั้งที่สอง แต่โควิดต่างจากสงครามในแง่จำนวนคนตายแน่ๆ เพราะสงครามโลกครั้งที่สองมีผู้เสียชีวิตราว 50-56 ล้าน ขณะที่โควิดสัปดาห์หน้าคงมีคนตายถึงหนึ่งแสน จากนั้นคงจะค่อยๆ ลดลง
ถ้าวิกฤตโควิดเหมือนสงคราม ผลที่จะเกิดในโลกยุคหลังโควิดก็คือโครงสร้างเศรษฐกิจการเมืองที่ฟื้นตัวสู่ “ระเบียบโลกใหม่” ซึ่งเปลี่ยนไปอย่างไพศาล แต่ที่จริง “สงคราม” คืออุปลักษณ์ซึ่งคนรุ่นทรัมป์และราชินีอังกฤษสื่อถึงสถานการณ์โดยเทียบกับอดีตที่เลวร้ายที่สุด
ขณะที่วิกฤตโควิดน่าจะส่งผลร้ายกว่าความโหดร้ายที่สุดที่โลกเจอในรอบ 77 ปี
ความรุนแรงในสงครามโลกครั้งที่สองทำให้มหาอำนาจเก่าอย่างอังกฤษและเยอรมนีหมดอิทธิพลลงไป
ส่วนอเมริกาเข้าร่วมสงครามภายหลังจนเสียหายน้อยและกลายเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจและการเมืองโลกในที่สุด
แต่วิกฤตโควิดสร้างหายนะให้กับทุกประเทศหลักโดยไม่มีข้อยกเว้น
โลกหลังโควิดจึงไม่มีประเทศใดมีต้นทุนพอจะเป็นผู้นำโลกเลย
ไม่มีใครรู้ว่าสถานการณ์ไวรัสระดับโลกจะยุติเมื่อใด แต่หากดูบทเรียนจากจีนซึ่งเป็นประเทศแรกที่ไวรัสระบาดก่อนส่งออกไปทั่วโลก
จีนพบผู้ตายด้วยโควิดรายแรกที่อู่ฮั่นในวันที่ 10 มกราคม และต้องรอถึงวันที่ 7 เมษายน ที่ไม่พบผู้ติดเชื้อใหม่เลยจนตัดสินใจเปิดเมืองในวันที่ 8
ก็เท่ากับว่าทุกประเทศคงต้องเผชิญสถานการณ์แบบนี้ไปอย่างน้อย 2 เดือน
ถ้าสถานการณ์โควิดในสหรัฐเป็นแบบเดียวกับจีน สหรัฐซึ่งมีผู้ติดโควิดตายรายแรกวันที่ 29 กุมภาพันธ์ ก็ต้องอยู่กับเหตุการณ์นี้ถึงปลายเดือนเมษายนเป็นอย่างน้อย
และถ้ามหาอำนาจอย่างเยอรมนี-อังกฤษ-ฝรั่งเศส เผชิญสถานการณ์เดียวกัน เยอรมนีก็น่าจะจบราว 7 พฤษภาคม, ฝรั่งเศสจบราว 15 เมษายน และอังกฤษราวๆ 4 พฤษภาคม หรืออาจผิดแผกตามรายกรณี
หากยอมรับว่าไวรัสมีขั้นตอนระบาดสามช่วง ช่วงแรกคือช่วงที่ระบาดมากจนผู้ติดเชื้อและคนตายมาก (Peak) ช่วงที่สองระบาดและติดเชื้อกับการตายคงตัว (Plateau) และช่วงที่สามระบาดกับการตายและติดเชื้อลดลง ความเป็นไปได้ที่ประเทศอื่นจะใช้เวลาสู้ไวรัสใกล้เคียงจีนก็มากขึ้นไปอีก
นั่นคือใช้เวลาหนึ่งเดือนสำหรับขาขึ้นและหนึ่งเดือนเพื่อขาลง
ในกรณีของจีนนั้น ระยะเวลาตั้งแต่วันแรกที่พบคนตายและคนติดเชื้อถึงวันที่พบคนตายและติดเชื้อสูงสุดคือ 20 วันจาก 22 มกราคม-12 กุมภาพันธ์ ส่วนในกรณีสเปน ระยะเวลาตั้งแต่วันแรกที่พบคนตายจนถึงวันที่พบคนตายสูงสุดคือ 26 วันจาก 3 มีนาคม-2 เมษายน หรือในกรณีอิตาลีคือ 32 วันจากวันที่ 21 กุมภาพันธ์ ถึงวันที่ 27 มีนาคม
แน่นอนว่าประเทศต่างๆ มีวิธีจัดการกับการแพร่ระบาดของไวรัสในช่วงสองเดือนไม่เหมือนกัน
แต่ไม่ว่าจะเป็นประเทศที่เน้นปิดประเทศแบบจีน
หรือประเทศที่ไม่เน้นการปิดประเทศอย่างเยอรมนีและเกาหลีใต้
ระยะเวลาสองเดือนคือระยะเวลาที่วงจรเศรษฐกิจและสังคมในประเทศหลักๆ ถูกระงับหรือ Disrupt อย่างที่ไม่เคยปรากฏขึ้นเลย
ถ้าเปรียบเทียบวิกฤตไวรัสเป็นการนัดหยุดงาน สังคมที่เผชิญวิกฤตไวรัสก็คือสังคมที่เผชิญความเสียหายระดับที่เทียบได้กับการนัดหยุดงานของทุกกิจการสองเดือนเป็นอย่างน้อย วงจรเศรษฐกิจที่พังพินาศนานขนาดนี้หมายถึงความปั่นป่วนทางสังคมที่จะตามมา มิหนำซ้ำยังเป็นความปั่นป่วนที่บางสังคมอาจไม่เหลือหน้าตักในการเยียวยาตัวเองได้เลย
ในกรณีสหรัฐอเมริกา วิกฤตไวรัสทำให้คนตกงานทันที 6 ล้านคน แต่ธนาคารแห่งอเมริกาประเมินว่าในที่สุดคนตกงานจะสูงถึง 20 ล้าน ซึ่งเป็นสถานการณ์ที่นักเศรษฐศาสตร์อเมริกาไม่เคยเผชิญมาก่อน
ส่วนรัฐไทยโง่เกินกว่าจะคิดออกว่าต้องระวังเรื่องนี้ จึงไม่มีการประเมินตัวเลขผู้ตกงานจากทางการไทย มีแต่ธนาคารเกียรตินาคินที่ประเมินไว้ 6 ล้านคน
การว่างงานไม่ใช่ปัญหา ถ้าผู้ว่างงานมีงานทำ แต่ต่อให้ไม่มีวิกฤตไวรัสทำให้เศรษฐกิจชะงักงันเลย จำนวนการมีงานทำของคนไทยก็ถดถอยลงคู่ขนานไปกับคนว่างงานที่เพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ เพราะเศรษฐกิจฝืด, ย้ายฐานการผลิต, การขยายตัวของปัญญาประดิษฐ์, หุ่นยนต์ราคาถูก ฯลฯ
วิกฤตไวรัสจึงทับถมวิกฤตการไม่มีงานทำให้รุนแรงยิ่งขึ้นไปกว่าเดิม
ยุทธวิธีที่ทั่วโลกใช้เพื่อสู้ศึกไวรัสได้แก่การสร้าง “ระยะห่างทางกายภาพ” เพื่อลดการติดเชื้อระหว่างบุคคล
และในโลกยุคหลังโควิดนั้น โรงงานและสถานประกอบการต่างๆ น่าจะหันไปใช้เครื่องจักรแทนคนยิ่งขึ้นไปอีก เพราะแรงงานคนต้องหยุดงานยามโรคระบาด ขณะที่เครื่องจักรและหุ่นยนต์นั้นไม่มีผลอะไร ปัญหาการว่างงานจึงยิ่งหนักหน่วงทวีคูณ
ธุรกิจบริการต้องใช้แรงงานจำนวนมาก แต่วิกฤตโควิดทำให้อุตสาหกรรมท่องเที่ยวและโรงแรมยากจะฟื้นตัว แรงงานในอุตสาหกรรมนี้กว่า 4.3 ล้านกลายเป็นคนที่เสี่ยงจะตกงานระยะยาวไปเรียบร้อยแล้ว แรงงานจากภาคอุตสาหกรรมจึงไม่มีทางไหลไปสู่ภาคบริการได้อย่างในอดีต หรือเท่ากับแรงงานภาคอุตสาหกรรมและบริการจะตกงานแบบไม่มีที่ไป
วิกฤตโควิดทำให้คนจำนวนมากในภาคบริการกลับบ้านไปพึ่งพิงพ่อแม่ที่เป็นเกษตรกรในชนบทไทย แต่เกษตรกรรายย่อยของไทยส่วนใหญ่ยากจน
ยิ่งไปกว่านั้นก็คือภาคเกษตรปีนี้เผชิญปัญหาภัยแล้งจนอาจมีปัญหาผลผลิตตกต่ำ ภาคเกษตรจึงไม่แข็งแกร่งพอจะรองรับกองทัพคนว่างงานหลายล้านได้ในระยะยาว
รัฐบาลอาจมองว่าใครตกงานก็จับกบจับเขียดหากินกับพ่อแม่กลางทุ่งไป แต่ในโลกที่มองจากสายตาของคนตกงาน การว่างงานคือการที่ประชากรวัยทำงานนับล้านๆ ตื่นมาทุกเช้าโดยไม่มีรายได้ ไม่มีค่าเช่าห้อง ไม่มีค่าขนมลูก ฯลฯ รวมทั้งประทังชีวิตจนกว่าเงินออมอันน้อยนิดจะหมดสิ้น
หรือพูดให้ถึงที่สุดคือมีชีวิตที่เต็มไปด้วยความตึงเครียดทางสังคม
คำถามที่รัฐบาลต้องคิดคือจะทำอย่างไรกับคนหลายล้านที่ทำมาหากินไม่ได้ ซ้ำยังรู้สึกตลอดว่ารัฐบาลทำให้พวกเขาไม่มีจะกิน?
ผู้มีอำนาจหลายประเทศมองเห็นว่าวิกฤตไวรัสสร้างวิกฤตเศรษฐกิจซึ่งจะนำไปสู่วิกฤตสังคม การฟื้นฟูประเทศหลังวิกฤตจึงต้องทำให้ไม่มีคนตกงานยามวิกฤตเสมอ
รัฐบาลอังกฤษหรือแคนาดาจึงมีนโยบายจ่ายเงินเดือนแทนนายจ้างให้ประชาชนที่ต้องหยุดงานร้อยละ 75 ของรายได้ในเพดานที่ไม่เกินกำหนด ขอเพียงให้นายจ้างไม่เลิกจ้างลูกจ้างเท่านั้นเอง
สำหรับผู้ที่อาจโต้แย้งว่าอังกฤษและแคนาดาทำแบบนั้นได้เพราะเป็นประเทศพัฒนา สิงคโปร์เองก็มีมาตรการ “ร่วมจ่ายค่าจ้าง” 75% ให้ทุกธุรกิจในเดือนเมษายน จากนั้นจ่ายอัตรานี้ในธุรกิจท่องเที่ยว โรงแรม และการบิน แต่ลดเหลือ 50% ในธุรกิจอาหาร และ 25% ในธุรกิจอื่นๆ
โดยจะทำแบบนี้เก้าเดือนและแบ่งจ่าย 3 งวด คือ เมษายน, กรกฎาคม และตุลาคม
รัฐบาลมาเลเซียไม่ได้ร่วมจ่ายค่าจ้างแบบอังกฤษและสิงคโปร์ แต่ใช้วิธีให้เงินประชาชนโดยตรงตามรายได้ ครอบครัวที่รายได้ต่ำกว่า 4,000 ริงกิต จะได้เดือนละ 1,600 คนโสดที่รายได้ต่ำกว่า 2,000 ริงกิต จะได้เดือนละ 800 ส่วนครอบครัวที่รายได้ระหว่าง 2,000-4,000 ริงกิต จะได้เดือนละ 1,000
หรือพูดง่ายๆ คือให้เงินจำนวนแปรผกผันกับรายได้ครอบครัว
ไม่มีใครปฏิเสธได้ว่ารัฐบาลไทยเยียวยาคนที่ตกงานเพราะคำสั่งรัฐน้อยเกินไป มิหนำซ้ำจำนวนคนที่จะได้เงินยังอาจต่ำกว่าจำนวนคนที่เดือดร้อนจริงๆ ด้วย ประเทศไทยในสถานการณ์วิกฤตโควิดจึงสุมความไม่พอใจของคนส่วนใหญ่ไว้เต็มไปหมด ยิ่งไปกว่านั้นคือเป็นความไม่พอใจของคนที่ไม่มีจะกินซึ่งรู้สึกตลอดเวลาว่ารัฐทำให้หมดทางทำมาหากิน
วิกฤตโควิดสร้างวิกฤตเศรษฐกิจซึ่งจะนำไปสู่วิกฤตทางสังคม
และท่ามกลางวิกฤตหลายต่อหลายมิติที่กำลังรุมล้อมประเทศไทยในเวลานี้ รัฐบาลไทยทำอะไรน้อยเกินไปเพื่อจะหยุดยั้งวิกฤตสังคมซึ่งจะลุกลามเป็นวิกฤตการณ์ทางการเมืองในอนาคต
การเมืองประเทศไทยหลังวิกฤตโควิดจึงเป็นการเมืองที่เสี่ยงจะเกิดการระเบิดของความขัดแย้งทางสังคม
ที่ผ่านมานั้นไทยฝ่าฟันวิกฤตอย่างสงครามโลกครั้งที่ 2 หรือ “วิกฤตต้มยำกุ้ง” โดยเกาะแข้งเกาะขามหาอำนาจให้ช่วยฟื้นฟู อเมริกาเป็นที่พึ่งของไทยช่วงหลังสงครามเหมือน IMF เป็นที่พึ่งตอนไทยใกล้เจ๊งในปี 2540
แต่ในสถานการณ์ที่ประเทศแถวหน้าเจอวิกฤตโควิดและวิกฤตเศรษฐกิจทั้งหมด โอกาสที่ไทยจะพึ่งความช่วยเหลือภายนอกแทบไม่มีเลย
ตราบใดที่รัฐบาลแก้วิกฤตไวรัสโดยไม่คำนึงถึงผลกระทบทางสังคม การจลาจลหรือการต่อต้านของมวลชนย่อมเป็นอนาคตที่เป็นไปได้เสมอ การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองระดับโครงสร้างรัฐแบบที่เคยเกิดหลังปี 2540 อาจเกิดขึ้นอีกก็ได้เว้นเสียแต่ประเทศจะมีปาฏิหาริย์ทำให้เกิดการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจระลอกใหญ่จนความเคียดแค้นในสังคมผ่อนคลายลง
วิกฤตโควิดเป็นประตูสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่อาจนำประเทศไทยไปสู่ทิศทางที่เราไม่เคยเจอ
มันมีแต่คนไทยที่ไหนล่ะ เป็นกันทั้งโลก แม่กับน้องเราอยู่แอลเอ เค้าก็ปิดเมือง ห้ามคนเข้าออก ห้ามค้าขายทุกอย่างยกเว้นอาหารเหมือนกัน
แค่คนเดือดร้อนไม่กี่คนมาบ่นใน inbox ก็ทำเป็นเรื่องใหญ่
ดูกอล์ฟ ฟักกลิ้ง ฮีโร่โน่น เปิดร้านหมูปิ้งสาขา 2 แล้ว
10 เม.ย. 2563 เวลา 10.18 น.
sank6 อดอยากตรงไหน ไปดูร้านขายเหล้าขายดีจะตาย
10 เม.ย. 2563 เวลา 10.06 น.
สังวาร ไม่นานหรอกโรคหมด ก็ดีขึ้น
10 เม.ย. 2563 เวลา 09.27 น.
Ae.es นักวิชาเกินกับสื่อแบบนี้ผีเน่าโลงผุ อวดรู้อวดฉลาดลึกๆ ก็ไม่พ้นเรื่องการเมือง
10 เม.ย. 2563 เวลา 10.27 น.
เบื่อนักวิชาการคนนี้
10 เม.ย. 2563 เวลา 10.21 น.
ดูทั้งหมด