น่าจะเป็นแรงกระเพื่อมสำคัญของตลาดหุ้นไทยในปีนี้กันไม่น้อย เมื่อ 2 หุ้นใหญ่อย่าง ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก "PTTOR" และ เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น"CRC" เตรียมจ่อคิวเข้าเทรดภายในปี 2563 นี้
นั่นก็เพราะมูลค่าตามราคาตลาด (Market Cap) ของทั้งคู่นั้นเรียกว่าสูงเป็นอันดับต้นๆ ของเมืองไทยอยู่แล้ว โดยคาดการณ์หลังจดทะเบียน PTTOR และ CRC จะมีมูลค่ามากกว่า 1 แสนล้านบาท
ขณะเดียวกันนี้นับเป็นตัวแทนในโมเดลธุรกิจค้าปลีกของ 2 กลุ่มทุนใหญ่ในประเทศไทยอย่างกลุ่มบริษัทปตท. และเครือเซ็นทรัลของตระกูลจิราธิวัฒน์
เรื่องแรกที่ต้องจับตามองเมื่อหุ้นใหญ่ PTTOR และ CRC เข้าตลาด คงหนีไม่พ้น ประเด็นการเข้ามาอยู่ในการคำนวณของดัชนี SET50 หรือ SET100 ได้อย่างไม่ต้องสงสัย เพราะหุ้นขนาดใหญ่ที่นักลงทุนรู้จักกันเป็นอย่างดี
เมื่อมีหุ้นเข้า ก็ต้องมีหุ้นออก คำถาม คือ แล้วใครล่ะเป็นผู้ถูกเลือกให้กระเด็นออกจากไป โดยบทวิเคราะห์หลักทรัพย์ ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) คาดว่าจะมี 7 หุ้นใน SET 50 ที่อาจโดนกระทบหลังการเข้ามาของ PTTOR และ CRC
1. BPP บริษัท บ้านปู เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน
บริษัทลูกของกลุ่ม "บ้านปู" ที่ประกอบธุรกิจหลักด้านการผลิตและจำหน่ายไฟฟ้า ทั้งโรงไฟฟ้าประเภท Conventional power generation และโรงไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน (Renewable power generation) โดยมีลงทุนหลากหลายรูปแบบและในหลายประเทศ เช่น ไทย, ลาว, จีน และญี่ปุ่น
2. BANPU - บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน)
บริษัทพลังงานแบบครบวงจร โดยสร้างการเติบโตจาก 3 กลุ่มธุรกิจหลัก ได้แก่ 1. ธุรกิจแหล่งพลังงานถ่านหินและก๊าซธรรมชาติกลุ่ม 2. ธุรกิจโรงไฟฟ้าจากพลังงานเชื้อเพลิงทั่วไป และจากพลังงานหมุนเวียน) 3. กลุ่มธุรกิจเทคโนโลยีพลังงาน เช่น ระบบจัดเก็บพลังงาน
3. DELTA - บริษัทเดลต้า อีเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)
ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ด้านการจัดการระบบกำลังไฟฟ้า และชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์บางประเภท โดยมีฐานการผลิตอยู่ในภูมิภาคต่างๆ ทั่วโลก ได้แก่ เอเชีย ยุโรป และอเมริกาใต้
4. GLOBAL - บริษัท สยามโกลบอลเฮ้าส์ จำกัด (มหาชน)
ศูนย์จำหน่ายสินค้าวัสดุก่อสร้าง วัสดุตกแต่ง เครื่องมือ อุปกรณ์ที่ใช้ในงานก่อสร้าง ต่อเติม ตกแต่ง บ้านและสวนแบบควบวงจร (one stop shopping center) ภายใต้แบรนด์ "โกลบอล เฮ้าส์" (Global House
5. TCAP - บริษัท ทุนธนชาต จำกัด (มหาชน)
เป็นบริษัทแม่ของกลุ่มธุรกิจทางการเงิน ซึ่งบริษัทในกลุ่มธนชาตแบ่งประเภทการประกอบธุรกิจออกเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่ 1. ธุรกิจทางการเงิน ซึ่งประกอบด้วย ธุรกิจธนาคารพาณิชย์ ธุรกิจบริหารสินทรัพย์ ธุรกิจหลักทรัพย์ ธุรกิจประกัน ธุรกิจให้เช่าซื้อ และธุรกิจลีสซิ่ง 2. ธุรกิจสนับสนุน ซึ่งประกอบด้วย ธุรกิจโบรกเกอร์ ธุรกิจบริการ และธุรกิจการพัฒนาฝึกอบรม
6. TU - บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน)
ผลิตและส่งออกอาหารสำเร็จรูปแช่แข็งและบรรจุกระป๋อง และขยายธุรกิจให้ครบวงจรด้วยธุรกิจอาหารสำเร็จรูปและอาหารว่าง โดยเน้นอาหารทะเลเป็นหลัก
7. WHA - บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)
ผู้นำในการให้บริการแบบครบวงจรที่เกี่ยวข้องกับการให้บริการด้านโลจิสติกส์ จำแนกธุรกิจได้เป็น 4 กลุ่ม ได้แก่ ธุรกิจพัฒนาและบริหารจัดการอสังหาริมทรัพย์ (Logistics Hub) ธุรกิจพัฒนานิคมอุตสาหกรรม (Industrial Development Hub) ธุรกิจให้บริการสาธารณูปโภคและพลังงาน (Utilities & Power Hub) และธุรกิจให้บริการด้านดิจิทัล (Digital Platform Hub)
อย่างไรก็ดี แม้ประเด็นนี้จะไม่ได้เกี่ยวข้องกับปัจจัยพื้นฐานบริษัท แต่ก็อาจเป็น sentiment เชิงลบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนได้ ซึ่งต้องจับตามองให้ดี
