ในช่วงเวลาที่เกิดการเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่ในทิเบต กองทัพจีนบุกยึดทิเบต จับกุมประชาชนและลามะจำนวนมาก อาจารย์ลาเซ ริมโปเช หรือชื่อเต็มว่าพระอาจารย์กุนเทรอ เมินเกียล ลาเซ ริมโปเช เป็นหนึ่งในลามะคนสำคัญที่ถูกจับกุมขัง
ท่านใช้ชีวิตอยู่ในเรือนจำนานยี่สิบปี
มิเพียงถูกจำกัดพื้นที่ สิ้นไร้อิสรภาพ แต่ยังถูกทรมานด้วยวิธีการต่างๆ นานากระทั่งได้รับบาดเจ็บ
แน่นอนว่าสภาพในคุกนั้นมิได้น่าอภิรมย์ ถูกใช้งาน ข่มเหง ทนทรมานสารพัด
ท่านผ่านคืนวันเหล่านั้นมาได้อย่างไร
คำตอบคือ-ด้วยวิธีเปลี่ยนคุกให้เป็นสถานปฏิบัติธรรม
ตลอดเวลาที่ถูกจองจำ ริมโปเชไม่เคยหยุดภาวนาและไม่เคยปล่อยให้ความทุกข์ทำให้จิตใจมัวหมอง หนึ่งในบทปฏิบัติหนึ่งที่ท่านสวดตลอดเวลาคือ ทงเลน ซึ่งเป็นการน้อมรับความทุกข์ของสรรพสัตว์ผ่านลมหายใจเข้า และแผ่ความรักความสุขให้แก่สรรพสัตว์ผ่านลมหายใจออก
นี่คือบทภาวนาที่ยิ่งใหญ่
และช่วงอันแสนทรมานในคุกนั้นเองที่เป็นช่วงภาวนาอันยิ่งใหญ่ของท่าน
โดยตระหนักในใจเสมอว่า แม้ตัวเองกำลังได้รับความทุกข์ แต่ก็ขอให้สัตว์อื่นอย่าได้มีความทุกข์
ครั้งหนึ่ง อาจารย์ประมวล เพ็งจันทร์ ครูที่ผมเคารพรักได้มีโอกาสเข้าพบและพูดคุยกับท่านลาเซ ริมโปเช หลังจากที่ท่านได้รับอิสรภาพแล้ว อาจารย์ประมวลกล่าวถามริมโปเชว่า “ท่านรู้สึกอย่างไรบ้างกับการต้องติดคุกถึงยี่สิบปี” ท่านลาเซตอบติดตลกว่า “นับเป็นโชคดีของชาตินี้ เพราะชาติอื่นๆ ก่อนนี้ ถ้าจะปฏิบัติธรรมก็ต้องบุกป่าฝ่าเขาเพื่อไปหาถ้ำสงบๆ แต่ชาตินี้ไม่ต้องออกแรง จู่ๆ ก็มีคนพาเข้าถ้ำเลย”
และเมื่ออาจารย์ประมวลถามว่า “ช่วงที่ถูกคุมขังและกระทำการรุนแรงถึงยี่สิบปี ช่วงเวลาไหนเป็นช่วงที่ทรมานที่สุด” คำตอบของท่านลาเซคือ ช่วงที่ท่านเผลอโกรธคนที่มาประทุษร้ายท่าน ทันทีที่อาจารย์ประมวลได้ยินคำตอบก็ทรุดตัวลงจากโซฟาที่นั่งอยู่ แล้วก้มลงกราบท่านทันที
นี่คือคำตอบที่มหัศจรรย์และยิ่งใหญ่อย่างยิ่ง ลองจินตนาการถึงสภาพชีวิตที่ถูกคุมขังนานยี่สิบปี ถูกทรมานสารพัดอย่าง คนผู้นั้นจะต้องมีจิตใจที่บริสุทธิ์และกว้างขวางเพียงใด จึงตอบว่า ความทรมานที่สุดของตนคือช่วงเวลาที่ ‘เผลอโกรธ’ คนที่มาประทุษร้ายตนเอง
ทรมานเพราะคิดไม่ดีต่อเขา มิได้ทรมานที่เขาทำไม่ดีต่อเรา
นี่คือความเมตตากรุณาโดยแท้
การคิดดีต่อผู้อื่นเช่นนี้ ต่อให้การกระทำของเรายังไม่ได้เปลี่ยนแปลงคนคนนั้น แต่จิตใจของเราที่มีต่อเขาได้เปลี่ยนแปลงไปแล้ว เราย่อมไม่รู้สึกเป็นทุกข์จากสิ่งที่เขากระทำต่อเรา
เรื่องราวของท่านลาเซได้แสดงให้เห็นอย่างชัดแจ้งว่า ‘ความคิด’ ภายในจิตใจของเราคือสิ่งสำคัญที่สุด เราสามารถใช้ทุกเหตุการณ์ในชีวิตเป็นเครื่องฝึกฝนจิตใจให้ก่อเกิดความเมตตากรุณาขึ้นได้ ไม่เผลอโกรธเกลียดคนตรงหน้า ดำรงตนอยู่ในจิตใจที่ปรารถนาให้ผู้อื่นไม่เป็นทุกข์อยู่เสมอ
สัมผัสถึงความทุกข์ของผู้อื่นด้วยลมหายใจเข้า เผื่อแผ่ความสุขให้ผู้อื่นด้วยลมหายใจออก
บุคคลเช่นนี้เป็นแรงบันดาลใจให้กับผู้คนที่ได้พบปะ สัมผัส และพูดคุยด้วย ท่านคือความรักความเมตตาที่มีอยู่จริง จับต้องได้ และจุดประกายให้เราเชื่อมั่นศรัทธาในจิตใจที่ดีงาม
ท่านแสดงให้เห็นเป็นตัวอย่างว่า เราสามารถผ่านภาวะที่ทุกข์ใจที่สุดไปได้…
ด้วยการปรารถนาให้ผู้อื่นมีความสุข
Bugś 👏👏👏
21 มิ.ย. 2561 เวลา 09.50 น.
อ่านแล้วได้อะไรพอสมควรเลยค่ะ
ชอบอ่านของนิ้วกลมเหมือนกันมีสาระดีอ่านเเล้วได้เเง่คิดดีค่ะชื่นชมนิ้วกลมที่สุด
21 มิ.ย. 2561 เวลา 10.30 น.
อยากทำ แต่ทำไม่ได้สักที เรื่องโกรธ...แย่จังเรา
21 มิ.ย. 2561 เวลา 14.06 น.
ดีครับดี เจริญสุขในเจริญพร
22 มิ.ย. 2561 เวลา 14.03 น.
Mod Munoi อยากจะคิดให้ได้แบบนั้นบ้างจัง..แต่ตัวเองรู้ตัวดีว่ากิเลสหนาเหลือเกินคงไม่สามารถทำได้..ก็ทรมานกันต่อไป..
21 มิ.ย. 2561 เวลา 12.45 น.
ดูทั้งหมด