บันเทิง

ต๋อย ไตรภพ เล่าวินาทีที่ภรรยาบอกว่าเป็นมะเร็ง เผยคำสอนลูกที่ 'อย่าเก่งเหมือนพ่อ'

MATICHON ONLINE
อัพเดต 06 ก.ค. 2563 เวลา 05.50 น. • เผยแพร่ 06 ก.ค. 2563 เวลา 04.29 น.

ต๋อย ไตรภพ เล่าวินาทีที่ภรรยาบอกว่าเป็นมะเร็ง เผยคำสอนลูกที่ ‘อย่าเก่งเหมือนพ่อ’

พิธีกรดัง ต๋อย ไตรภพ ลิมปพัทธ์ ที่มาเป็นแขกรับเชิญคนพิเศษในรายการ รายการ CLUB FRIDAY SHOW ร่วมพูดคุยถึงทุกมุมของชีวิต รวมสาเหตุที่ต้องแยกเตียงกับภรรยาตั้งแต่แรกที่เริ่มใช้ชีวิตด้วยกันพร้อมเล่าถึงวินาทีที่ภรรยาเดินเข้ามาบอกว่าเป็นมะเร็ง และหลักคำสอนที่ถ่ายทอดให้กับลูกๆ

โฆษณา - อ่านบทความต่อด้านล่าง

“เรื่องที่ผมต้องแยกห้องนอนกับภรรยา เพราะผมเป็นคนที่มีความส่วนตัวสูงมากเขาก็เป็น ในชีวิตผมกับเขาแทบจะไม่มีอะไรเหมือนกันเลย ไม่ตรงกันสักอย่างเลย ถ้าผมพูดว่านี่นก เขาจะบอกว่าไม้ แต่สิ่งที่เหมือนกันคือความเป็นส่วนตัวสูงทั้งคู่อันนั้น อันหนึ่ง”

“และอีกอันคือ ผมเป็นคนนอนยากมาก ผมนอนคืนหนึ่ง 4 ชั่วโมงอย่างเก่งแล้วผมนอนตื่นทุกชั่วโมงตลอด พอตื่นมาเข้าห้องน้ำอะไรเรียบร้อย 10 นาทีก็จะหลับต่อผมไม่ได้มองว่าเป็นความทรมานนะ มองว่าเป็นชีวิต ใน 1 อาทิตย์เราจะตื่นแบบนี้ 3 –4 วันติดๆกัน”

เป็นคนที่ติดบ้านต้องกลับไปทานข้าวที่บ้านตอนเย็นทุกวัน

โฆษณา - อ่านบทความต่อด้านล่าง

“อันนี้คือสิ่งที่เสียหายกับชีวิตเขามากแล้วเขาโกรธมาก คือ ผมก็คงประหลาดด้วยนะ ผมคงไม่ดีด้วย ผมไม่ว่าจะทำงานเหน็ดเหนื่อยขนาดไหน ผมจะกลับมาทานข้าวที่บ้านโดยนิสัยผม”

แตง ภรรยาเคยพูดว่า ต๋อย ไตรภพ เลี้ยงเขาดีเกินไป

“อ๋อ !! เรื่องมันเกิดแบบนี้ เวลาที่ทะเลาะกันขึ้นมาแล้วเขาทำอะไรไม่ได้ แล้วเขาหาทางออกไม่ได้ เขาก็จะร้องไห้ เขาก็ไม่ได้ร้องตลอด แล้วพอเขาร้องเสร็จเขาจะโมโหมากๆ เขาก็จะบอกว่าความผิดอยู่ที่เธอ แล้วผมก็จะงงมาก ความผิดทั้งหมดมันอยู่ที่เธอ เธอเลี้ยงฉันดีเกินไป เธอทำให้ฉันกลายเป็นคนแบบนี้ ฉันไม่ได้เป็นคนแบบนี้สักหน่อยเมื่อก่อน”

โฆษณา - อ่านบทความต่อด้านล่าง

“ผมอยู่กับภรรยาผมแบบขำๆ แต่เขาไม่ค่อยขำ ผมมองว่าผู้หญิงเป็นอย่างนี้ ภรรยาผมเป็นอย่างนี้ สำหรับผมน่ารักดี คุณเชื่อไหมภรรยาผม กับผมมีเรื่องที่จะทะเลาะกันได้ทุกวันทั้งเช้าทั้งเย็นเลย อย่างเรื่องล้างจาน ผมจะเอาจานไปล้าง หรือ เห็นมันกองมากๆ เขาก็จะทำเอง เพราะเขาคิดว่ามันไม่ใช่หน้าที่ผม ผมก็มองว่าไม่เป็นไร ถ้าคิดว่าผมเป็นไตรภพ แล้วผมทำอะไรเองไม่ได้เลย แล้วต่อไปอยู่จะอยู่ยังไง ถอดภาพผมออกไปสิ ผมก็จะล้างจาน กวาดบ้านได้ถูบ้านได้ก็จะถู เขาคงมองว่ามันไม่ใช่นหน้าที่ของเรา เขาเลยไม่อยากให้เราทำผมคิดเอาว่าเขาคิดแบบนี้นะ”

ในวันที่ภรรยาเดินมาบอกว่าเป็นมะเร็งในวันนั้นเป็นยังไงบ้าง

“วันนั้นตอนเรากลับถึงบ้านเขาเดินมาบอกเราว่า แตงเป็นมะเร็ง ผมก็บอกว่าเป็นตรงไหน เขาบอกว่าเป็นตรงนี้ๆ ขั้นที่เท่านี้ๆ รักษาได้ไหม เขาบอกเราว่า ได้ เธอมีหมอเก่งไหม ผมถามเขานะ เขาบอกว่ามี บอกว่าไม่ต้องหมอเขาเก่ง ก็ทำตามนั้น ก็จบด้วยคำว่ามีอะไรอีกไหม เขาก็บอกไม่มีอะไรล่ะ ก็หมดไม่มีอะไรล่ะ เราก็คุยกันแค่นี้”

เรามองว่าเรื่องการเป็นมะเร็งเป็นแค่เรื่องหนึ่งเท่านั้น

“ใช่ มันเป็นเช่นนั้นเอง มันไม่ได้เป็นจากเขาหรือจากเรา ไม่ได้เป็นเพราะใคร เพราะเป็นจากธรรมชาติ มันหลีกเลี่ยงไม่ได้ มนุษย์ต้องเข้าใจธรรมชาติ มนุษย์ต้องเข้าใจเรื่องนี้มันเกิดได้ มนุษย์ต้องเข้าใจว่ามนุษย์ต้องตายได้ ต้องป่วย ต้องเจ็บ ผมเข้าใจเพราะอยู่กับสิ่งเหล่านี้มาตลอดชีวิต เพราะฉะนั้น จะให้ผมตกใจ เรื่องนี้มันเป็นไปไม่ได้ แล้วผมก็ทำเช่นนั้นจริงๆ แล้วเขาก็เป็นคนแข็งแรง แข็งแรงจริงๆ แล้วเขาก็ถามผมหลังจากนั้นวันสองวันพี่…แตงต้องบอกลูกไหม ผมบอกต้องบอก ลูกไม่เหมือนเรา เกิดวันหนึ่งเธอเป็นมากเยอะมากหรืออะไรก็ตาม แล้วถ้าเขาบอกว่าทำไมไม่บอกเขาตั้งนานแล้วอย่างนี้ เธอตายไปแล้วนะ ฉันยังอยู่ ฉันต้องนั่งทนกับมันเหรอ คือ เราพูดกันอย่างนี้นะ แล้วจะบอกเมื่อไหร่พี่ เราก็บอกเมื่อเธอพร้อม โอเค เราก็เรียกลูกมาคุย”

“พอลูกมาถึง พ่อกับแม่มีอะไรจะคุยด้วย เราก็เป็นคนบอกลูกว่า แม่เป็นมะเร็งนะ ภาพแรกที่เราเห็นหน้าลูกชายเราจำได้เลย ลูกชายกำมือแล้วเขาก็ทุบโต๊ะ แล้วเขาก็เอาหน้าล้มลงไปที่โต๊ะ แล้วลูกสาว ร้องไห้เหมือนในหนังเลย ประมาณสัก 10-15 วิ แล้วลูกสาวก็หยุด ตาลก็หยุด ไม่เอาไม่ร้องละ ไม่ใช่เวลาที่จะร้องไห้ ไม่ใช่!! แล้วก็เริ่มถาม แล้วแม่จะทำยังไง ตูนก็เงยหน้าขึ้นมาแล้วสูดหายใจ ทำอย่างไรครับ แล้วคุยกันเลยปกติแล้วก็แบบนี้ครับ เข้มแข็งทั้งบ้าน”

“ตอนนี้สุขภาพมากดีๆเลย เขาอยากไปเที่ยวทะเลใจจะขาดแล้ว มันไปไม่ได้เพราะติดโควิด”

นอกเหนือจากความเข้มแข็ง อาต๋อย มักจะบอกกับลูกว่าไม่ต้องเก่งเหมือนพ่อก็ได้

“คืออย่างนี้เขาเป็นลูกไตรภพ เหมือนที่ผมเข้ามาแล้วพวกคุณยกมือให้เกียรติผม ผมรู้สึกว่าพวกคุณให้เกียรติผมขอบคุณจริงๆ เพราะงั้นทุกคนก็จะพูดกับเขาตอนนั้นเป็นเด็ก เขาจะพูดว่าพ่อเก่งมากอย่างโน้น อย่างนี้โตขึ้นต้องเก่งเหมือนพ่อ คุณพูดแบบนั้นเด็กได้รับแรงกดดันขนาดไหน”

“งั้นทุกครั้งที่ผมได้ยินคนพูดผมจะเรียกลูกมากอดแล้วกระซิบบอกลูกว่าอย่าเก่งเหมือนพ่อนะ อย่าเก่งเหมือนพ่อเด็ดขาดจงเก่ง อย่างที่ลูกอยากเก่ง จงเป็นอย่างที่ลูกอยากเป็น แต่ไม่ต้องเป็นเหมือนพ่อ นั่นคือ เหตุผลที่คนถึงถามว่าทำไมไม่เคยผลักดันให้ลูกเข้าวงการนี้ ก็ผมสอนลูกแบบนี้ แล้วผมจะดันลูกเข้าวงการนี้ได้อย่างไร”

“ผมชอบให้พลังบวกทุกคนเพราะผมไม่คิดว่าพลังลบมี”

อาต๋อย บอกว่าลูกชายคือความภูมิใจ บอกกับลูกสาวว่าเขาคือความรัก

“ใช่ ลูกชายคือความภูมิใจ ลูกสาวคือหัวใจ ผมบอกเขาอย่างนี้แต่ลูกชายคือความภูมิใจของผมจริงๆ เขาเป็นคนที่ทำให้ผมภูมิใจจริงๆ ผมไม่ได้พูดเล่นนะ คุณเชื่อไหมว่าผมว่าผมเก่งแค่ไหนหรืออะไรยังไงก็ตาม ถ้าเทียบกับเขาในอายุที่ผมเท่าเขา แล้วถ้าย้อนกลับไปผมไม่ได้เศษหนึ่งส่วนสี่เขาเลย เขาโชคดีที่เขารู้จักเรียนรู้จากเราไปเท่านั้นเอง”

“สำหรับ ลูกสาวถ้าเราเรียกเราระหว่างความภูมิใจกับหัวใจ เราเลือกหัวใจอยู่แล้วเขาเป็นคนตลกทำให้เรามีความสุข ผมพอใจกับพวกเขาแล้ว ผมเคยพูดกับเขาคำหนึ่ง ขออนุญาตพูดตรงนี้ ที่พูดให้ทำดี บอกลูกให้เข้าใจคนด้วยนะมองคนให้เป็นและมองให้ถูกต้องลูกอย่ามองว่าทุกคนอยากทำเลว หรือ ทำไม่ดี หรือทำผิด เขาไม่มีมีโอกาสเลือกต่างหาก บางทีเขาอยู่ในที่ที่เจ้านายบังคับให้เขาทำแบบนั้น หรืออยู่ในที่ที่เหตุการณ์ ครอบครัวเขาต้องทำสิ่งนั้น ไม่งั้นเขาอยู่ไม่รอด และการทำไม่ดีของเขามันเกิดจากภาวะบังคับทั้งสิ้นนะลูกบางคน แต่ถ้าคนที่ทำไม่ดีด้วยตัวเองสิ่งนั้นลูกไม่ต้องเอามาพูดลูกไม่เคยอยู่ในภาวะแบบนี้เลยในภาวะบังคับ แล้วถ้าลูกทำไม่ดีเมื่อไหร่ก็ตามลูกรู้ไว้ด้วยนะว่ามันเจ็บปวดกว่าเขากี่เท่าเพื่อนผมยังว่าผมเลยว่าไม่สอนลูกให้เข้มแข็ง ผมบอกเขาว่าคุณสอนลูกให้เข้มแข็งกับโลก  แต่ผมสอนลูกให้เข้มแข็งกับธรรม”

ต๋อย ไตรภพ
ดูข่าวต้นฉบับ
ความเห็น 4
  • jamlux
    ให้แง่คิดที่ดี มีพลังบวกค่ะ
    07 ก.ค. 2563 เวลา 02.42 น.
  • plastic
    อย่าเก่งเหมือนพ่อ​ ชีวิตจริงในครอบครัวสงสัยจะแย่มากๆ
    07 ก.ค. 2563 เวลา 00.32 น.
  • ได้ดูรายการแล้วรู้สึกว่าผู้ชายคนนี้หลงตัวเอง
    06 ก.ค. 2563 เวลา 08.44 น.
  • คนนี้ขี้โม้โอ้อวด ไม่เหมือนวิทวัส
    06 ก.ค. 2563 เวลา 06.24 น.
ดูทั้งหมด