เคยมีคนบอกผมว่ารอบๆตัวเรา ณ ขณะใดขณะหนึ่งนั้น มีโลกใบเล็ก ๆ หลาย ๆ ใบของหลายๆ คนทับซ้อนกันไปมาอยู่เสมอ
ผมเพิ่งเข้าใจว่าคำกล่าวนั้นเป็นจริงยังไงชัด ๆ ช่วงโควิดนี้เอง ช่วงเวลาที่จะไปไหนมาไหน เราต่างก็ต้อง Respect Distancing เคารพในระยะปลอดภัยของทุกคนตลอดเวลา
ล่าสุดผมยืนรอลิฟต์อยู่ที่ห้างแห่งหนึ่ง เลยตัดสินดึงหน้ากากลงมากองไว้ที่ใต้คางแล้วดูดชามะนาวจากแก้วในมือที่ตั้งใจจะถือไปดื่มบนรถ ทันทีที่ลิฟต์เปิด ผมก็ก้าวขาเข้า ในขณะเดียวกันนั้น คนในลิฟต์กลุ่มหนึ่งกลับก้าวขาถอยหลบผมอย่างทันใด ผมรู้สึกได้ทันทีว่ามีสายตาหลายคู่ที่มองหน้าผมพร้อมส่งพลังผลักไสแกมตำหนิอย่างไม่ถึงกับหยาบคายแต่ออกแนวกังวลใจ จนกระทั่งผมนึกขึ้นได้จึงรีบดึงหน้ากากอนามัยกลับมาใส่เช่นเดิม แล้วทุกอย่างก็กลับเข้าสู่สถานการณ์ปกติต่อไป
หน้ากากผ้าบาง ๆ ชิ้นเล็ก ๆ ชิ้นเดียวนี้ต้องมหัศจรรย์ขนาดไหน ถึงสามารถแบ่งโลกของแต่ละคนในลิฟต์ออกจากกันได้ขนาดนั้น
จริง ๆ แล้ว แม้ไม่ต้องเบียดกันขนาดในลิฟต์หรอก เอาแค่ตอนนี้ที่ผมกำลังรถติดอยู่กลาง 4 แยกอโศกอันแสนจะวุ่นวายพร้อมแดดเที่ยงเปรี้ยง ๆ ที่แผดเผาหนังหน้าอยู่นี้ ก็มีโลกหลายใบที่ทับซ้อนกันอยู่เช่นกัน
โลกใบหนึ่งแอร์เย็นฉ่ำ เสียงเพลงบัลลาร์ดบรรเลงผ่านเครื่องเสียงชั้นดี เบาะหนังแท้ที่โอบกระชับพอดีตัว กลิ่นน้ำหอมปรับอากาศชื่นใจที่ติดรถไว้โชยมาอย่างอบอวล
ส่วนโลกอีกใบ ร้อนระอุเต็มไปด้วยฝุ่นควัน ไอเสีย และเสียงหนวกหูแข่งกันคำรามก้องกังวาน อยู่ท่ามกลางตึกระฟ้าและสถานีรถไฟฟ้าที่ยิ่งทำให้ท้องถนนกลายเป็นเตาอบขนาดใหญ่
โลก 2 ใบที่ซ้อนกัน โดยมีแค่กระจกใสแผ่นบาง ๆ ของรถยนต์ที่ผมกำลังขับกั้นกลางอยู่เราห่างกันแค่นิดเดียวจริง ๆ แต่ต่างกันมากมายเหลือเกิน
ผมกำลังขับรถมุ่งหน้าฝ่ารถติดไปหาเพื่อน ที่นัดไปรวมตัวกันไหว้เทพทั้ง 5 ที่หน้าถนนราชประสงค์ พระพิฆเนศ พระอินทร์ พระพรหมเอราวัณ พระตรีมูรติ และพระแม่ลักษมีเพื่อเป็นสิริมงคลวันเกิดให้กับเพื่อนสนิทคนหนึ่งในกลุ่ม
“อธิษฐานในสิ่งที่เราควรได้นะจ๊ะ ท่านคงไม่ให้อะไรในสิ่งที่คน ๆ นั้นไม่ควรได้รับหรอก และที่สำคัญคนอธิษฐานต้องคิดดี ทำดี และขอในสิ่งดี” เพื่อนสายมูประจำกลุ่มแอบบอกเคล็ดลับน่าสนใจนี้กับพวกเราทุกคนซึ่งกำลังเตรียมอธิษฐานนั่งคุกเข่าประนมมือกันอยู่หน้าพระพรหมท่าน
โดยไม่ได้ตั้งใจ ในหมู่ฝูงชนมากมายที่กำลังก้ม ๆ เงย ๆ ไหว้กันอยู่นั้น ผมกลับสังเกตเห็นใบหน้าที่ไม่คุ้นเคยเอาซะเลยของลุงคนหนึ่งอายุประมาณเฉียด 50 ปี ที่ดูยังไงก็ไม่ใช่พวกเราแน่ ๆ และไม่รู้ว่าแอบมามั่วนิ่มแฝงตัวทำเนียนกลมกลืนอยู่ตรงนี้กับเราตั้งแต่เมื่อไหร่นั้นกำลังพยักหน้าตามไปพร้อมกับเราด้วย ซึ่งขออนุญาตพูดตรง ๆ เลยว่าดูยังไง ถามใครก็มั่นใจได้เลยว่าคงคิดเหมือนกันว่า “ขอทานแน่นอน” เพราะจากสภาพแล้วลุงคนนี้สวมเสื้อเปื่อย ๆ กับกางเกงขาดลุ่ยเนื้อตัวมอมแมมสกปรก กับผมที่เกรอะกรังไม่สวมรองเท้า ไม่มีกระเป๋า ไม่มีเครื่องประดับซักชิ้น หรือพูดง่าย ๆ คือ…..
ไม่มีอะไรเลย
แต่สิ่งหนึ่งที่ลุงมีอย่างแน่นอน และไม่น้อยไปกว่าพวกเราทุกคนรวมทั้งผมด้วยนั่นคือ
“ความหวังกับคำอธิษฐาน”
และนั่นอาจเป็นสิ่งเชื่อมโยงเล็ก ๆ ที่ยิ่งใหญ่พอจะทำให้โลกของพวกเรากับโลกของลุงหมุนมาทับซ้อนจนเกือบจะเป็นใบเดียวกันอยู่ในตอนนี้
ผมอธิษฐานเสร็จแล้วจึงถอยออกมายืนมองย้อนกลับไป ดูแต่ละคนนั่งคุกเข่าหลับตาประนมไหว้ ขมุบขมิบปากกันไปมาอยู่นานสองนาน
“อธิษฐานอะไรกันน้า…” ผมนึกสงสัยผู้คนมากมายที่อยู่ตรงหน้าอย่างเสียไม่ได้ แล้วลุงคนนั้นที่นั่งอยู่ถัดไปล่ะ อยากรู้จังเค้าอธิษฐานอะไร และจะเคยมีซักอันไหมนะมันเป็นจริงขึ้นมา
หลังจากสำลักควันธูปจนคอแสบ น้ำตาไหลเหมือนซาบซึ้งและเข้าถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์จนหน้าแดงหูแดง ก็ได้เวลาเดินหน้าไปหาอะไรอร่อยๆทานกันที่ห้องอาหารของโรงแรมหรูที่อยู่ติดกันสักที
“ขอผมซัก 20 บาทเถอะครับ ขอซัก 20 บาทนะครับ ยังไม่ได้กินข้าวเลยตั้งแต่เมื่อวาน”
ผมหันกลับไปมองตามที่มาของเสียงดังกล่าวที่แว่วเข้ามาระหว่างกำลังก้มหน้าก้มตาเดินไปสู่ร้านอาหาร
ภาพลุงคนเดิมซึ่งดูอ่อนน้อมและอ่อนโยน ยืนยกมือไหว้ไปโค้งตัวไป ดูน่าเห็นใจเหลือเกิน พลางเปล่งเสียงเบา ๆ อย่างเกรงใจเป็นระยะ ๆ
เหมือนมีแรงดึงดูดบางอย่างให้อยู่ดี ๆ ลุงคนนี้ก็หันมาสบตาผมและเดินมุ่งหน้ามาหาผมช้า ๆ พร้อมสายตาเปี่ยมความหวังซะแล้ว
แต่ก่อนที่ลุงจะถึงตัวผม พนักงานโรงแรมก็เข้ามากัน แล้วพาผมเดินเข้าโรงแรมไป ผมแอบหันกลับมามองลุงคนนั้นอีกครั้ง บัดนี้เสียงร้องอ้อนวอนขอเงินเงียบหายไปแล้ว แต่ลุงยังคงยืนมือเปล่าอยู่ที่เดิมมองมาที่ผม
และในภาพสุดท้ายก่อนที่ลุงจะลับสายตา ผมรู้สึกว่า ผมเห็นรอยยิ้มจากใบหน้าสิ้นหวังนั้น…
ประตูกระจกใสอัตโนมัติบานใหญ่เลื่อนเปิดต้อนรับเราเข้าสู่โลกใบใหม่ แสงไฟ โซฟาดอกไม้ แจกัน หรูหราดูตื่นใจ พร้อมอาหารละลานตาแบบเหลือกินเหลือใช้ ถูกจัดวางอย่างสวยงาม
แค่กระจกใส ๆ บานบาง ๆ ไม่ถึง 1 เซนติเมตรแค่นี้ แบ่งโลกที่แตกต่างออกจากกันได้ขนาดนี้เชียวเหรอ
หลังจากนั้นไม่นาน
ประตูกระจกใสอัตโนมัติบานใหญ่เลื่อนเปิดอีกครั้ง ผมตัดสินใจเดินกลับออกไป เพื่อตามหารอยยิ้มบนใบหน้าสิ้นหวังนั้น
“ลุงครับ นี่ผมให้ครับ”
ผมยื่นเงิน 80 บาทให้กับลุงที่ยังคงยืนอยู่ที่เดิมคนเดียว
ลุงไม่ยิ้มเลยซักนิดครับ แต่ยกมือไหว้แล้วร้องไห้ออกมาจนผมตกใจ แล้วหันกลับไปไหว้สาธุองค์พระพรหมอีกครั้ง
“ขอบคุณคร้าบ ๆ ขอบคุณมาก ๆ นะหนูนะ”
ผมรีบเดินจากมาพร้อมกับคิดในใจว่า จริง ๆ แล้วรอยยิ้มของลุงไม่ได้หายไปไหนหรอก
มันแค่ย้ายที่มาอยู่ในหัวใจของผมแทนเท่านั้นเอง
บางทีอาจไม่ใช่ หน้ากากอนามัยที่เราใส่ หรือประตูกระจกบานใสบาง ๆ นี้หรอกที่แบ่งโลกที่แตกต่างออกจากกัน
แต่เป็นหัวใจที่ไม่รู้จักแบ่งปันมากกว่า
--
ติดตามบทความใหม่ ๆ ของ อั๋น ภูวนาท ได้ทุกวันจันทร์ บน LINE TODAY
MadamNight เป็นเรื่องราวที่ดีและน่าประทับใจมากค่ะ ส่วนในแง่เคสขอทานเป็นเราๆก็ให้แบบคุณอั๋นค่ะ อาจจะเต็มที่ 200 บาท คือให้แบบพอเพียง เพราะหากให้เยอะหลักพันหลักหมื่นตามฐานะคนให้ไป เกิดมีคนไม่ดีไปปล้นแกไป ก็กลายเป็นทุกขลาภกับแกอีก ส่วนแกจะเป็นคนรวยปลอมตัวมาก็ช่างเถอะ หรือเป็นขอทานที่ทำกิริยาแบบนี้กับทุกๆคน แต่คนให้แบบเรารู้สึกสุขใจก็พอแล้ว อย่าคิดเยอะ อย่าไปสนใจว่าใครจะมองว่าสร้างภาพเพราะมันไม่จริง สังคมของเรามันมีแค่กระจกใสบางๆกั้นกลางจริงๆ
25 มิ.ย. 2563 เวลา 15.41 น.
Yong หน้ากากมีประโยชน์อะไรทำไมคนถึงต้องใส่หน้ากากก็เพราะมันสามารถป้องกันเชื้อโรคจากภายนอกไม่ให้เข้าสู่ร่างกายส่วนใจนี้ก็มีหน้ากากคือสติถ้าขาดสติในการควบคุมจิตคอยดูจิตสะกดจิตไม่ให้จิตนี้เลื่อนลอยไปตามอำนาจของตัณหาความทะเยอทะยานอยากอันเป็นต้นเหตุแห่งทุกข์ทางใจผู้ใดมาเจริญสติก็คือการมาสวมหน้ากากใจให้สงบจากโรคทางใจได้แก่โรคความรักโรคความชังความหลงทำให้ใจที่เป็นโรคกิเลสนี้อ่อนแอตกอยู่ใต้อำนาจของกิเลสไม่สามารถยับยั้งใจไม่ให้ไปทำชั่วได้ในที่สุดความทุกข์ใจจากการทำบาปเพราะขาดสติก็ย่อมเกิดขึ้นเป็นผลตามมา
24 มิ.ย. 2563 เวลา 14.37 น.
⏮️◀️⏹️▶️⏭️ ใจเราอิงแอบแนบชิด ชื่นชอบอะไรก็ไม่ควรเสแสร้งนะคะ มันจะอ๊วก
22 มิ.ย. 2563 เวลา 12.24 น.
Eaung(Terry) เอี๊ยง เฉียบบบ
22 มิ.ย. 2563 เวลา 10.53 น.
vivii โคตรเกลียดอีนี่เลย
22 มิ.ย. 2563 เวลา 10.52 น.
ดูทั้งหมด