กกต. ยันแบ่งเขตเลือกตั้ง ไม่เอื้อประโยชน์พรรคใด

กกต. ยืนยันแบ่งเขตการเลือกตั้ง ไม่ได้เอื้อพรรคการเมืองใด โดยจะใช้เวลาในการแบ่งเขตเลือกตั้ง 55 วัน จากนั้นเป็นเวลาของพรรคในการคัดเลือกผู้สมัคร

หลังการประกาศในราชกิจจานุเบกษา เรื่องจำนวน ส.ส.พึงจะมีในแต่ละจังหวัด นายอิทธิพร บุญประคอง ประธาน กรรมการการเลือกตั้ง หรือ กกต. ระบุว่า ได้ยึดใช้หลักเกณฑ์การดำเนินการ ตามข้อ 6 ของประกาศระเบียบ กกต. ว่าด้วยการแบ่งเขตเลือกตั้ง ส.ส.ปี 2561

ซึ่งไม่ได้พิจารณาจากปัจจัยอื่นหรือทำให้เกิดความได้เปรียบและเสียเปรียบของพรรคการเมือง หากพรรคการเมืองไม่เห็นด้วย สามารถเสนอความเห็นช่วงการประกาศรับฟังความเห็นได้ และย้ำว่าดำเนินการอย่างเป็นธรรมต่อทุกพรรคการเมือง

ประธาน กกต. ย้ำด้วยว่า กระบวนการแบ่งเขตเลือกตั้งจะใช้เวลาราว 55 วัน เพื่อให้พรรคการเมืองมีระยะเวลาไม่น้อยว่า 30 วันในการดำเนินการคัดเลือกผู้สมัครลงรับเลือกตั้ง ตามไทม์ไลน์นับจากวันนี้ไป 14 วันหรือภายในวันที่ 3 ตุลาคม ผู้อำนวยการ กกต.จังหวัด ต้องกำหนดการแบ่งเขตเลือกตั้ง 3 รูปแบบตามหลักเกณฑ์ให้แล้วเสร็จ

จากนั้นเปิดให้ประชาชน และพรรคการเมืองแสดงความเห็นอีก 10 วัน ก่อนใช้เวลาอีก 3 วันในการรวมความเห็นและส่งมายัง กกต. ส่วนกลางเพื่อพิจารณาในช่วงเวลา 20 วันในการตัดสินใจว่าจะเลือกรูปแบบใด หรือให้เสร็จภายในวันที่ 5 พฤศจิกายนนี้

สำหรับการเลือกตั้งที่จะมีขึ้นครั้งนี้ มีจำนวน ส.ส.ทั้งสิ้น 350 คน และเขตเลือกตั้ง 350 เขต ลดลงจากเดิมที่มีจำนวน ส.ส. 375 คน และเขตเลือกตั้ง 375 เขต โดยมีจังหวัดที่ถูกปรับลดจำนวน ส.ส.และเขตเลือกตั้งลง 23 จังหวัด ซึ่งกรุงเทพมหานคร มีจำนวน ส.ส. 30 คน และเขตเลือกตั้งมากสุด 30 เขต ลดลงจากการเลือกตั้งครั้งก่อนที่มีจำนวน ส.ส. 33 คน และเขตเลือกตั้ง 33 เขต

ส่วนจังหวัดกระบี่ , กาฬสินธุ์, ชัยภูมิ, เชียงใหม่, ตรัง, นครราชสีมา, นครศรีธรรมราช, นนทบุรี, บุรีรัมย์, พระนครศรีอยุธยา, เพชรบูรณ์, แพร่, ร้อยเอ็ด, เลย, สกลนคร, สตูล, สระบุรี, สุพรรณบุรี, สุรินทร์, อุดรธานี, อุตรดิตถ์ และอุบลราชธานี ลดลงจังหวัดละ 1 เขต

สำหรับระเบียบเรื่องการหาเสียงนั้น ประธาน กกต. ระบุว่า อยู่ระหว่างดำเนินการ ยังไม่เสร็จเรียบร้อย โดย กกต.จะพิจารณาแนวทางที่ให้ผู้ปฏิบัติสามารถดำเนินการได้ และคงจะหลีกเลี่ยงเรื่องการหาเสียงทางสื่ออิเล็กทรอนิกส์ไม่ได้ อย่างไรก็ตามแนวทางการหาเสียงต้องเป็นไปด้วยความเรียบร้อย ไม่มีการใส่ร้ายป้ายสี และไม่ขัดต่อกฎหมาย