1. ความสุขคือต้นไม้ที่กำเนิดจากเมล็ดพันธุ์แห่งความสมหวังและพอใจ ขณะที่ความเบิกบานคือต้นไม้ที่กำเนิดจากเมล็ดพันธุ์แห่งความตระหนักรู้ ความพอใจต้องการหลายสิ่ง ขณะที่ความตระหนักรู้นั้นไม่ต้องการอะไรเลย
2. ภาวะแห่งความสุขจำเป็นต้องมีอัตตารองรับ ความเป็นท่านต้องมีอยู่ในห้วงจักรวาล ขณะที่ภาวะแห่งความเบิกบานคือภาวะไร้อัตตา ท่านต้องทำลายอัตตาลงชั่วคราว ความเบิกบานจึงปรากฏขึ้นได้ และเมื่อความเป็นท่านปรากฏขึ้นเมื่อไหร่ ความเบิกบานย่อมหายไปทันที
3. ความเบิกบานจะไม่ปรากฏต่อหน้าผู้กระหายความสำเร็จ เพราะความเบิกบานไม่สามารถเกิดขึ้นผ่านตัวตนของตัณหาได้ ตัณหานำมาซึ่งอดีตและอนาคต นำมาซึ่งความอยากมี อยากได้ และอยากเป็น สิ่งนี้ย่อมทำลายปัจจุบันขณะให้ราบคาบ เมื่อปัจจุบันขณะถูกทำลายไปแล้ว ความเบิกบานย่อมถูกทำลายลงพร้อมกัน
4. ความสุขปฏิเสธความผิดหวัง ขณะที่ความเบิกบานเป็นภาวะที่เปิดรับทั้งความสำเร็จและความผิดหวัง ทั้งความสำเร็จและผิดหวังต่างเป็นมิตรสหายกับความเบิกบาน ผู้ต้องการความสุขจะขับเคลื่อนชีวิตเพื่อหลีกหนีความผิดหวัง ยิ่งหลีกหนีจากความผิดหวังมากเท่าไหร่ โอกาสค้นพบความเบิกบานก็ยากขึ้นเท่านั้น
5. ความสุขคือห้องสวยงามที่เต็มไปด้วยเฟอร์นิเจอร์ และมิตรสหายพูดคุย นั่นคือสิ่งที่ความสุขนำมากำนัลให้ท่าน ส่วนความเบิกบานนั้นไม่ได้ให้อะไรท่านเลย เพียงขับเคลื่อนตนเองมาสู่ท่าน ท่านจะไม่ได้อะไรทั้งสิ้นจากความเบิกบาน ความเบิกบานจึงดูไร้ค่าสำหรับท่าน ความสุขทำให้ท่านเป็นยาจกที่มีชีวิตคล้ายราชา
ขณะที่ความเบิกบานทำให้ท่านเป็นราชาที่มีชีวิตคล้ายยาจก ท่านจะกลับคืนสู่ความไม่มีอะไรเมื่อสัมผัสแตะต้องความเบิกบาน ความสุขทำให้ท่านครอบครองดวงจันทร์ และดวงดาว ทำให้ท่านครอบครองสิ่งที่เป็นมวลสาร เป็นก้อนอารมณ์ เป็นสิ่งที่สายตา ร่างกายของท่านสัมผัส ขณะที่ความเบิกบานให้ท่านได้เพียงสิ่งเดียว
นั่นคือความว่างเปล่า และความว่างเปล่าย่อมเป็นสิ่งไร้ค่าในสายตาคนฉลาด แต่มีค่ายิ่งใหญ่ในสายตาผู้มีปัญญา แม้ท่านต้องการสัมผัสความว่างเปล่า จงเอาเฟอร์นิเจอร์ของท่านออกไป นำความสุขของท่านไปทิ้ง แล้วความเบิกบานจะปรากฏต่อหน้าท่านทันที
6. ความสุขเกี่ยวเนื่องกับสิ่งภายนอก มันยึดโยงท่านไว้กับบางสิ่ง บางคน บางสถานการณ์ บางความรู้สึก ความสุขเป็นเรื่องของการปรับเปลี่ยนบางสิ่งให้เป็นอย่างใจ ขณะที่ความเบิกบานเป็นเรื่องของการตระหนักรู้ ยอมรับ และเต้นรำไปกับสถานการณ์ตรงหน้า ผู้เบิกบานจะไม่ปฏิเสธอะไรทั้งสิ้น
บ้านของผู้มีความสุขย่อมมีรั้วรอบขอบชิด ป้องกันอันตราย ขณะที่บ้านของผู้มีความเบิกบาน เป็นพื้นที่โล่งแจ้ง มีห้องรับแขกเพื่อพูดคุยกับนักบวช และหมู่โจร เป็นบ้านที่ไม่มีประตู และไร้ขอบเขต บ้านของผู้มีความเบิกบานคือโลกทั้งใบ ขณะที่บ้านของผู้มีความสุขเป็นเพียงปราสาทราชวังเท่านั้น
7. ท่านต้องเป็นอะไรต่อมิอะไรเพื่อให้ได้มาซึ่งความสุข แต่ท่านไม่ต้องเป็นอะไรเลยเพื่อให้ได้มาซึ่งความเบิกบาน ความเบิกบานย่อมพาท่านกลับสู่ความเป็นตนเองที่ไร้ความอยาก ท่านย่อมไม่อยากเป็นอะไร ท่านไม่เป็นทั้งคนที่ทำให้ผู้อื่นพอใจ ไม่เป็นทั้งคนที่ทำให้ตนเองพอใจ ท่านจะไม่พูดคำว่าปรับเปลี่ยนตนเอง ไม่พูดแม้กระทั้งการเป็นตัวของตนเอง ท่านแค่เป็น เป็นอะไรก็เป็นอย่างนั้น เป็นโดยปราศจากการให้ค่าตั้งราคา แค่เป็น แค่ดำรงอยู่ แค่เกิดขึ้น แค่กระพริบผ่าน ทำเพียงแค่นั้น เท่าที่มันเป็นของมันอยู่แล้ว
8. การปรับเปลี่ยนความคิด เป็นเรื่องของความสุข ถ้าท่านต้องการความสุข ท่านจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนความคิดบางอย่างของท่านของท่านให้ดีขึ้น ท่านอาจต้องมองสิ่งต่างๆ ให้มีความสว่างไสว นั่นคือหนทางของความสุข แต่ยังไม่ใช่หนทางของความเบิกบาน แม้ท่านต้องการความเบิกบาน จงอย่าต้องการทั้งความสุข ความทุกข์
แม้ความเบิกบานก็อย่าได้ต้องการมัน ท่านต้องไม่มีความต้องการใด ๆ แม้แต่ความไม่ต้องการที่จะต้องการ บางครั้งจงต้องการแต่ให้มองเห็นความต้องการ แต่บางครั้งจงไม่ต้องการ และท่านไม่จำเป็นต้องมองเห็นมัน ท่านต้องไม่เป็นผู้เล่นเกม แต่ท่านต้องย้ายตนเองจากผู้เล่นเกมชีวิต เข้าสู่กระบวนการมองชีวิต เมื่อท่านเพ่งมองชีวิตอย่างเป็นกลาง ความเบิกบานจะผุดพรายขึ้นมาในชีวิตของท่านทันที
9. ความสุขเป็นเส้นตรง เป็นเรื่องของการลากเส้น มีการเคลื่อนผ่านของเวลาจากอดีต ปัจจุบันไปสู่อนาคต ขณะที่ความเบิกบางเป็นภาวะเกิดดับ มันไม่ใช่เส้นตรง ไม่มีการลากเส้น และไม่ทิ้งรอยเท้าใด ๆ ไว้ในโมงยามแห่งอดีต อนาคต เพราะความเบิกบานเป็นเพียงผลพวงจากการเต้นรำกับความจริงในปัจจุบันขณะเท่านั้น
10. ท่านไม่สามารถค้นพบความเบิกบานผ่านกระบวนความคิด ความคิดให้ได้เพียงความสุขเท่านั้น แม้ท่านต้องการสัมผัสความเบิกบาน จงใช้ความต้องการของท่าน ทำลายความต้องการของท่าน โดยอาศัยกระบวนการภาวนาทางจิต เพื่อเข้าสู่กระบวนการเพ่งมองชีวิตตามความเป็นจริง ผู้เบิกบานย่อมอยู่ในโมงยามของวิปัสสนาญาณ เพราะความเบิกบานไม่อาจเกิดขึ้นผ่านการทำงานของอัตตาตัวตน ความสุขอยู่ภายใต้กฎความจริงแห่งการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป
ขณะที่ความเบิกบาน เป็นการเข้าไปรู้เห็นการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป ความสุขทำให้ท่านเป็นผู้ใกล้ชิดธรรมชาติและพระเจ้า ขณะความเบิกบานทำให้ท่านเข้าสู่ความเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติและพระเจ้า ความสุขทำให้ท่านแบ่งแยก ขณะที่ความเบิกบานทำให้ท่านหลอมรวม จงทิ้งความต้องการที่จะมีความสุขซะ แล้วความเบิกบานจะปรากฏขึ้นกลางใจของท่านทันที
Another Dimension อาจารย์เขียนแบบนี้ คนทั่วไปจะเข้าใจกันได้เหรอ?
ขนาดยกอุปมาที่ง่ายที่สุดมาเปรียบแล้ว
ความสุข ที่เกิดจากกิเลส จากที่ยึดถืออัตตา
กับ ความเบิกบาน ที่เกิดจากการรู้แจ้งจึงละความสุขเพราะรู้ว่ามันคือของขวัญของกิเลส และวางอัตตาซึ่งคือภาชนะบรรจุกิเลส ไม่ได้ยึดถืออัตตาแล้วเพราะพิจารณาแล้วรู้ถึงสภาพอนัตตา
คนทั่วไป รู้จักแต่สุข ยังไม่เคยไปถึงความเบิกบาน เลยนึกว่าสุขนี้มันที่สุดแล้ว ไม่รู้ว่ามันมีอะไรที่สุดยอดกว่านั้น เปรียบปรานว่า ถ้าคุณสามารถสั่งสมองหลั่งเอ็นโดฟินได้ตามใจชอบ คุณยังจะต้องครอบครองจักรวาลไหม
21 ก.ค. 2563 เวลา 14.02 น.
ไร้ใจ ไร้รัก😍❤
20 ก.ค. 2563 เวลา 10.15 น.
sujira คนเขียนเข้าใจแค่ไหนเนี่ย คล้ายจินตนาการคิดเองเออเองชอบกล ความสุขคือไม่ใช่ความทุกข์ ความเบิกบานคือไม่ใช่ความหดหู่ ความสุขความเบิกบานอยู่คู่กัน เช่นเดียวกับความทุกข์ความหดหู่อยู่ด้วยกัน
14 ก.ค. 2563 เวลา 19.43 น.
Saowanee หมดราคา
14 ก.ค. 2563 เวลา 13.19 น.
โท้ยครับ สาธุครับ อจ.พศิน
ความเบิกบานไม่มีอะไรเลย มีแต่ความอิสระของใจที่ปล่อยวางทุกสรรพสิ่ง
เริ่มต้นภาวนาเถอะ แล้วท่านอาจได้เห็นพุทธะในกายใจของท่านเอง
14 ก.ค. 2563 เวลา 10.22 น.
ดูทั้งหมด