ทั่วไป

อดีตนาซีผู้อยู่เบื้องหลังจรวดพามนุษย์ไปดวงจันทร์ครั้งแรก

Manager Online
เผยแพร่ 20 ก.ค. 2562 เวลา 13.19 น. • MGR Online

ความสำเร็จของก้าวแรกบนดวงจันทร์จะเกิดขึ้นไม่ได้ หากลูกเรืออะพอลโล 11 ไม่อาจเดินทางด้วยจรวดได้อย่างปลอดภัย และ “เวอร์เนอร์ ฟอน บราวน์” อดีตนาซีผู้ออกแบบจรวดมิสไซล์ที่คร่าชีวิตผู้คนจำนวนมากในสงครามโลกครั้งที่ 2 คือฮีโร่ผู้ออกแบบจรวดที่ปลอดภัย

อเมริกาส่งมนุษย์ไปลงดวงจันทร์ครั้งแรกเมื่อวันที่ 20 ก.ค.1969 เวลา 22.56 น.หรือตามเวลาประเทศไทยคือวันที่ 21 ก.ค.เวลา 09.56 น. โดยจรวดแซทเทิร์น 5 (Saturn 5) ได้ทะยานออกจากฐานปล่อยจรวดในศูนย์อวกาศเคนเนดี (Kenendy Space Center) ฟลอริกา สหรัฐฯ เมื่อวันที่ 16 ก.ค.เพื่อนำลูกเรืออะพอลโล 11 (Apollo 11) ทั้งหมด 3 คน คือ นีล อาร์สตรอง (Neil Armstrong) บัซ อัลดริน (Bauzz Aldrin) และไมเคิล คอลลินส์ (Michael Collins) ไปดวงจันทร์

โฆษณา - อ่านบทความต่อด้านล่าง

จรวดแซทเทิร์น 5 นั้น ออกแบบและสร้างโดย เวอร์เนอร์ ฟอน บราวน์ (Wernher von Braun) ซึ่งก่อนหน้านั้นเคยสร้างจรวดมิสไซล์วี-2 (V-2 missile) ให้นาซีเอาไปใช้ถล่มเมืองกลุ่มสัมพันธมิตรจำนวนมากในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ต่อมาภายหลังเขาได้อยู่เบื้องหลังโครงการอะพอลโลที่พาคนไปลงดวงจันทร์

ขณะที่ทั้งฝ่ายฝ่ายสัมพันธมิตรตะวันตกและสหภาพโซเวียตต่างแย่งตัวฉัจฉริยะนาซีผู้นี้ แต่เป็นสหรัฐฯ ที่ได้ ฟอน บราวน์ มาทำงาน พร้อมทั้งจรวดวี-2 ที่ยังไม่ใช้งาน กองเอกสารวิชาการ และทีมนักวิทยาศาสตร์และวิศวกรอีกหลายร้อชีวิต โดยพวกเขาไปถึงเท็กซัสเมื่อเดือน ก.ย.1945 โดยไม่มีครอบครัวติดตามไปด้วย จนกระทั่งปี ค.ศ.1950 พวกเขาก็ไปอยู่ยังเมืองเกษตรเล็กๆ ของฮันท์วิลล์ ซึ่งได้เปลี่ยนสถานที่ผลิตอาวุธปืนใหญ่เป็นศูนย์พัฒนาจรวดมิสไซล์

ที่สุดครอบครัวของหัวกะทิชาวเยอรมันได้รวมตัวกันอย่างสมบูรณ์ และถึงปี ค.ศ.1960 ศูนย์พัฒนาจรวดมิสไซล์ได้กลายเป็นองค์การบริหารการบินอวกาศสหรัฐฯ (นาซา) และ ฟอน บราวน์ ได้เป็นผู้อำนวยการคนแรกของศูนย์การบินอวกาศมาร์แชล (Marshall Space Flight Center)

โฆษณา - อ่านบทความต่อด้านล่าง

มาร์กริท ฟอน บราวน์ (Margrit) ลูกสาวคนที่ 2 ของฟอน บราวน์ ที่เกิดเมื่อปี 1952 ย้อนความหลังแก่ทางเอเอฟพีว่า เธอเติบโตมาอย่างเด็กธรรมดา โดยครอบครัวของเธออาศัยอยู่ในเมืองที่เต็มไปด้วยครอบครัวชาวเยอรมันคนอื่นๆ พวกเขาใช้ทั้งภาษาเยอรมันและอังกฤษสื่อสารกัน

“แต่ฉันไม่เคยเรียกตัวเองว่าเป็นชาวอเมริกันเอนมันเลยนะ ฉันมักนิยามตัวเองว่าเป็นชาวอเมริกันก่อนเสมอ” ลูกสาวของ เวอร์เนอร์ ฟอน บราวน์กล่าว และเธอยังกลับไปยังบ้านเกิดเพื่อร่วมฉลอง 50 ปีในการส่งมนุษย์ไปเยือนดวงจันทร์ของโครงการอะพอลโลด้วย

มาร์กริทออกจากเมืองฮันท์วิลล์เพื่อไปศึกษา และอาศัยอยู่ที่ไอดาโอถึง 42 ปี และที่นั่นเธอกลายเป็นศาสตราจารย์ด้านวิศวกรรมสิ่งแวดล้อมของมหาวิทยาลัยของรัฐ และเธอยังร่วมก่อตั้งองคืกรไม่แสวงหาผลกำไรเทอร์รากราฟิกส์ (TerraGraphics) ที่ทำงานเพื่อลดผลกระทบต่อสุขภาพของมนุษย์จากการปนเปื้อนในสิ่งแวดล้อมตามประเทศต่างๆ เช่น ไนจีเรีย

โฆษณา - อ่านบทความต่อด้านล่าง

ในขณะที่ลูกสาวทำงานวนเวียนเกี่ยวกับโลก แต่พ่อของเธอทำงานที่พุ่งไกลออกไปจากโลก เพื่อศึกษาดาวนอกโลก แต่มาร์กริทมองว่าเธอและพ่อต่างก็มีสิ่่งที่เชื่อมโยงกันอย่างที่คนอื่นอาจไม่คาดคิด

“เมื่อเราได้เห็นโลก ในฐานะลูกหินอ่อนสีฟ้าแสนงดงามอย่างโดดเดี่ยวในอวกาศ นั่นคือจุดเริ่มต้นของการเคลื่อนไหวเพื่อสิ่งแวดล้อมอย่างจริงจังของประเทศนี้ (อเมริกา)” มาร์กริทกล่าว

จากความทรงจำมาร์กริทได้เล่าถึงปฏิกิริยาของพ่อเมื่อครึ่งศตวรรษก่อน ขณะที่จรวดแซทเทิร์น 5 ทะยานขึ้นจากฟลอริดา และในวันถัดจากนั้นเกือบทั้งวัน พวกเขาก็คุยกันเรื่องไปดาวอังคารไม่หยุดหย่อน

“ทว่าหากพ่อยังอยู่ถึงทุกวันนี้ พ่อคงจะช็อคและผิดหวังรุนแรง ที่เราไม่เพียงทิ้งช่วงกลับไปเยือนดวงจันทร์อีกครั้งอย่างยาวนาน แต่ยังรวมถึงเรื่องที่เราไม่มีความคืบหน้าที่จะไปดาวอังคารต่อไป” มาร์กริทกล่าว

ฟอน บราวน์ มีความฝันที่จะขยายขอบเขตการเข้าถึงอวกาศของมนุษย์ชาติ แต่ความฝันนั้นถูกแปดเปื้อนจากสงคราม โดยระหว่างทำงานภายใต้การปกครองของนาซี เขาได้ควบคุมการยิงจรวดมิสไซล์วี-2 จากพีเนมุนด์ในทะเลบอลติก และเพื่อจะยุติสงครามโลก

ฮิตเลอร์มีเป้ายิงจรวดมิสไซล์พิสัยไกลลูกแรกของโลกไปยังลอนดอนของอังกฤษและเมืองแอนต์เวิร์ปของเบลเยียม เพื่อสังหารพลเมืองและทหารหลายหมื่นชีวิต นอกจากนี้ในการสร้างอาวุธสังหารยังมีแรงงาน 1-2 หมื่นรายที่ถูกเกณฑ์มาจากค่ายกักกันดอรา (Dora concentration camp) ต้องเสียชีวิตลงอย่างไร้มนุษยธรรม

ฟอน บราวน์เข้าร่วมพรรคนาซีเมื่อปี ค.ศ.1937 และยังได้รับตำแหน่งเจ้าหน้าที่ชุทซ์ชตัฟเฟิล (Schutzstaffel: SS) หน่วยเสริมของทหารนาซีที่น่าสะพรึงกลัว ซึ่งนักประวัติศาสตร์มองเขาเป็น 2 ฝ่าย ฝ่ายหนึ่งมองว่าเขาคืออาชญากรสงคราม ส่วนอีกฝ่ายมองว่า เขามีทางเลือกไม่มากต้องเลยตามเลยไปกับรัฐบาลที่ปกครองแบบเผด็จการ

แต่ก็มีความเห็นแย้งว่าไม่ควรเลือกข้างให้บุคคลในประวัติศาสตร์กลายเป็นฮีโร่หรือวายร้ายเพียงเพื่อให้ง่ายต่อการเจาะจง สำหรับมาร์กริทแล้วฟอน บราวน์คือ “พ่อ” และยังให้ความเห็นด้วยว่า สิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงสงครามนั้นเป็นสิ่งที่ยากจะรับมือ บางคนอาจถูกขอให้ทำในสิ่งที่เราไม่อาจปฏิเสธได้ เธอเชื่อว่าคนจำนวนหนึ่งไม่มีทางเลือกในแบบที่ผู้อาศัยในสังคมประชาธิปไตยแบบอเมริกาคุ้นเคย

“อเมริกันเปิดรับนักวิทยาศาสตร์จรวด และนักวิทยาศาสตร์ก็ช่วยอเมริกาไปดวงจันทร์ ดังนั้น ฉันคิดว่าการระบุแบบนี้ถูกต้องมากกว่า” มาร์กริทกล่าว

ดูข่าวต้นฉบับ
ความเห็น 4
  • ตาริน
    ด่าฮิตเลอร์ ประนามนาซี ...แต่ก็ไปเอาความรู้ของเค้ามาทั้งนั้น ไปประนามนายแพทย์แมงเกเร่ ว่าทรมานมนุษย์เพื่อทดลองในค่ายกักกันเอ้าชวิตช์...แต่ผลการทดลองที่ทำก็กลายเป็นหลักสูตรแพทย์ศาสตร์ที่นำมาศึกษาใช้งานกันถึงทุกวันนี้..แม้แต่ฤทธิ์ของยาต่างๆ..ที่มีใช้กัน..ก็มาจากค่ายนาซี..เพราะคงมีแต่พวกนาซีที่สามารถทดลองใช้ยากับมนุษย์ได้..ผลการทดลองก็กลายเป็นสมบัติของอเมริกา ..ไอสไตร์ก็คือชาวยิวที่เกิดและเติบโตในเยอรมัน.ได้รางวัลโนเบลก็ที่เยอรมัน.แล้วก็หนีมาอยู่อเมริกา ..จรวด.เครื่องบินไอพ่นของนาซีคิดทำทั้งนั้น
    20 ก.ค. 2562 เวลา 14.10 น.
  • เป็นไงสหรัฐหน้าแตกมั๊ยไปเอาความคิดเขามาแล้วบอกว่าตัวเองเป็นชาติแรกขึ้นถึงดวงจันทร์ทรัมป์ว่าไง
    20 ก.ค. 2562 เวลา 14.37 น.
  • SCARIO
    ขอบคุณครับ
    20 ก.ค. 2562 เวลา 14.16 น.
  • ACE
    ฟอน บราวน์​ ตอนอยู่ที่เยอรมันก็คงโดนบีบให้ทำงานตามความสามารถ​ และคงไม่มีทางเลือก​ ถ้าหนีได้คงหนีแบบไอสไตน์ไปแล้ว​ เมื่ออยู่อเมริกาและได้ทำงานสร้างจรวดส่งคนไปดวงจันทร์​ เขาคงมีความสุข​มาก​ และคงตั้งเป้าว่าจะสร้างยานไปดาวอังคารให้ได้​ถ้ายังมีชีวิต​อยู่​ น่าเสียดาย...
    20 ก.ค. 2562 เวลา 14.44 น.
ดูทั้งหมด